คดีน้องชมพู่ เด็กหญิงวัย ๓ ขวบ หายไปจากบ้านพักเมื่อ ๑๑ พ.ค. ๒๕๖๓ กินเวลากว่า ๓ ปีครึ่ง และในที่สุดเมื่อวันที่ ๒๐ ธ.ค. ๒๕๖๖ ศาลจังหวัดมุกดาหาร มีคำสั่งตัดสินจำคุก ๒๐ ปี ลุงพลหรือไชย์พล วิภา มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.๒๙๑, ๓๑๗ วรรคแรก ฐานกระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุก ๑๐ ปี และพรากเด็กอายุยังไม่เกิน ๑๕ ปีไปจากบิดามารดา โดยปราศจากเหตุอันสมควร จำคุก ๑๐ ปี ส่วนข้อหาอื่นให้ยก ก่อนให้ประกันตัว ๕ แสนบาทtt ttแต่สิ่งที่เกิดขึ้นในคดีน้องชมพู่ และทำให้สังคมได้เห็นเป็นบทเรียน “ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด็อกเตอร์ฐนันดร์ศักดิ์ บวรนันทกุล” อดีตประธานหลักสูตรอาชญาวิทยา การบริหารงานยุติธรรม มหาวิทยาลัยมหิดล มองว่าเรื่องแรกในกรณีเด็กหาย ซึ่งคนใกล้ตัวจะรู้และบอกได้ เพราะเด็กเล็กมาก ต้องมีผู้ใหญ่พาตัวไป จากพยานหลักฐานที่ใกล้เคียง และศาลคงประเมินแล้วว่าคงใช่แน่นอน และจากผลดีเอ็นเอนอกจากนี้เหตุที่เกิดขึ้น อาจเกี่ยวข้องกับความเชื่อเรื่องพญานาค เพราะคนส่วนใหญ่ในพื้นที่บ้านกกกอก มีความเชื่อในเรื่องนี้ และเชื่อว่าลุงพลคงมีความเชื่อลึกๆ ในเรื่องพญานาค อาจมีความเชื่อในการเอาเด็กไปบูชายัญ จากคำพูดของลุงพลที่หลุดออกมาก่อนหน้านั้นแบบไม่ได้คิด แต่ตอนหลังพูดจาฉะฉานมากขึ้น“ดูจากเหตุจูงใจเอาเด็กไปในขณะนั้นไม่มี แต่ความเชื่อเรื่องพญานาค ต้องได้คนบริสุทธิ์ไปบูชายัญ ความเชื่อแฝงเหล่านี้น่าจะมีส่วน และพอลุงพลได้เงินมา ก็พยายามสร้างรูปปั้นพญานาคเหมือนเป็นการตอบแทน คิดว่าเรื่องความเชื่อมีผลค่อนข้างเยอะสำหรับคนในพื้นที่”ขณะที่คำพิพากษาของศาลชั้นต้นค่อนข้างมีน้ำหนัก และอธิบดีผู้พิพากษาภาค ๔ และผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดมุกดาหาร มาตรวจสำนวน ทำให้เชื่อในหลักฐานต่างๆและผลทางนิติวิทยาศาสตร์ จนนำไปสู่การลงโทษลุงพล ใน ๒ ข้อหา จากพยานหลักฐาน จากแผนประทุษกรรม และพยานแวดล้อม ก็น่าจะเชื่อว่ากระทำผิดจริง แต่ไม่รู้ลึกๆ ว่ามาจากผลการสอบคนแวดล้อม น่าจะฟังได้ว่าเอาน้องชมพู่ไปปล่อย แล้วปล่อยให้เสียชีวิตหรือไม่ tt ttจากที่ฟังหลายๆ ส่วน หลายๆ ครั้งในคดีน้องชมพู่ พบว่าเมื่อใครก็ตามเข้าไปสัมผัสกับลุงพล เพียงระยะหนึ่งก็จะถอยห่าง และเชื่อว่าท้ายสุดเวรกรรมมีจริง แม้ไม่มีประจักษ์พยานในการเอาเด็กไปอย่างชัดเจนก็ตาม แต่พยานแวดล้อมก็บ่งชี้ในเรื่องเวลาเกิดเหตุ จนพบหลักฐาน ซึ่งขณะนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่เปิดเผย และอย่างที่พูดว่าคนใกล้ตัวคงรู้ น่าจะอยู่ในสำนวน โดยเฉพาะพยานแวดล้อม ทำให้ศาลมองว่าสมควรลงโทษได้tt ttกรณีเด็กหายในสังคมไทย ยังมีเรื่องซุกอยู่ใต้พรมอีกเป็นจำนวนมาก แต่ก็หายเงียบไป แตกต่างกับคดีน้องชมพู่ สื่อให้ความสนใจทำให้มีความคืบหน้า นำไปสู่การคลี่คลายคดีและพอจะบ่งชี้ได้ ขณะที่คดีเด็กหายหลายๆ กรณี ล้วนแล้วมาจากคนเสพยา มีการปราบปรามไม่เด็ดขาด จนเกิดความผิดปกติด้านจิตใจ ซึ่งมีแนวโน้มสูงมากขึ้น และอีกกรณีเกิดจากเด็กและเยาวชน มีลูกก่อนวัยอันควรและไม่มีทักษะในชีวิต จนเด็กที่เกิดมาตกเป็นเหยื่อในการถูกทำร้าย ถูกทุบตีจนเสียชีวิตมีการอำพรางศพ และจะมีมากขึ้นในสังคมไทยส่วนบทสรุปในคดีน้องชมพู่ คิดว่าอย่างไรแล้วศาลอุทธรณ์ คงจะเห็นตามศาลชั้นต้น เพราะอธิบดีผู้พิพากษาภาค ๔ และผู้พิพากษาหัวหน้าศาล มาคุมตรวจสำนวน คงรัดกุมพอสมควร หากจะยื่นฎีกาต่อศาลฎีกา คงกระทำไม่ได้ หากอุทธรณ์แล้วไม่มีประเด็นใด อาจไม่ได้รับอนุญาตฎีกาจากศาลฎีกา.
คดีน้องชมพู่ บทเรียนเด็กหาย จากคนใกล้ชิด พยานแวดล้อมเห็นลุงพล วันเกิดเหตุ
Related posts