สื่อทำเนียบตั้งฉายารัฐบาลแกงส้ม “ผลัก” รวม หลังตระบัด สัตย์ข้ามขั้วจัดตั้งรัฐบาลกับ ๒ ลุง “นายกฯเศรษฐา” ได้ฉายา เซลส์แมนสแตนด์ “ชิน” “ภูมิธรรม” เป็น “รองกอง” “สุทิน” ไปถึงฝัน “พลิกทินสู่ดาว” “ทวี สอดไส้” ฉายาของ รัฐมนตรีว่าการยุติธรรม ลูกเขยตัวแสบทำ “ชาดา” เป็น “มาเฟียละเหี่ยใจ” “ผมจะทำงานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย” คือวาทะแห่งปี นายกฯอารมณ์ดีเข้าใจเป็นสีสันของสื่อ โวรัฐบาลแกงส้ม ครบรส-รัฐมนตรีครบเครื่อง แฮปปี้ ๓๑๔ เสียงเพียงพอแล้ว “ภูมิธรรม” รับได้กระจกสะท้อนภาพ “ทวี” บอกเคารพ สื่อไม่ติดใจ “ชาดา” ครวญเพลง “หัวใจละเหี่ย” โชว์ รัฐมนตรีว่าการยุติธรรมโยนอธิบดีราชทัณฑ์ยังไม่รายงานกรณี “ทักษิณ” “สมศักดิ์” ฉะ ขรก.แหยงไม่กล้าพูด สว. จี้ใช้กฎคุมตัวนักโทษเคร่งครัด ข้องใจหมอแจ้งเท็จ อาการป่วย ๘ ภาคียื่นศาลปกครองยกเลิกกฎขังนอกคุก ศาลฎีกาฯยกฟ้อง “ยิ่งลักษณ์” ย้าย “ถวิล” พร้อมถอนหมายจับเป็นวาระสำคัญประจำปีของผู้สื่อข่าวทำเนียบรัฐบาล ในการตั้งฉายารัฐบาลและรัฐมนตรี เพื่อสะท้อนภาพการทำงานที่ผ่านมา โดยปีนี้มีการตั้งฉายารัฐบาลว่า แกงส้ม “ผลัก” รวม ขณะที่ฉายาของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯและ รัฐมนตรีว่าการคลัง คือ เซลส์แมนสแตนด์ “ชิน”ฉายารัฐบาลแกงส้ม “ผลัก” รวมเมื่อวันที่ ๒๖ ธ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า การตั้งฉายารัฐบาล และรัฐมนตรีประจำปี ๒๕๖๖ ของผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาลที่ยึดถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติสืบต่อกันมายาวนาน เพื่อสะท้อนความคิดเห็นสื่อมวลชนต่อการทำงานของรัฐบาล โดยปราศจากอคติ ได้มีมติร่วมกันตั้งฉายารัฐบาล รัฐมนตรี และวาทะแห่งปี ประจำปี ๒๕๖๖ ดังนี้ ฉายารัฐบาลคือ แกงส้ม “ผลัก” รวม แกงคือ คำสแลงที่ใช้แทนความหมายว่าแกล้ง ส้มคือสีของพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ส่วนคำว่า “ผลักรวม” ล้อมา จากคำว่า “ผักรวม” เมนูแกงส้มยอดนิยมประเภทหนึ่ง เมื่อรวมกันแล้วนิยามความหมายในทางการเมือง สะท้อนกระแสสังคม มองพรรค ก.ก. ถูกกลั่นแกล้ง MOU ถูกฉีก และถูกผลักออกจากการร่วมรัฐบาล ด้วยเงื่อนไขทางกฎหมาย และข้ออ้างทางการเมืองส้มจึงหล่นใส่พรรคอันดับรอง กลืนน้ำลายจัดตั้งรัฐบาล “มีลุง” ก็ไม่เป็นไร ให้เหตุผลเพื่อความสมานฉันท์ ทำเอาแฟนคลับผู้รักประชาธิปไตยถึงกับหัวใจสลาย ก่อเกิดวาทกรรม “ตระบัดสัตย์” ดังนั้นแกงส้ม “ผลัก” รวม จึงใช้อธิบายปรากฏการณ์ทางการเมืองของการ จัดตั้งรัฐบาลที่ว่า “ชนะเลือกตั้ง แต่แพ้จัดตั้ง” ได้เป็นอย่างดี“เศรษฐา” เซลส์แมนสแตนด์ “ชิน”ขณะที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการคลัง ได้ฉายาเซลส์แมนสแตนด์ “ชิน” นับแต่เศรษฐีที่ชื่อ “เศรษฐา” เข้ารับตำแหน่งนายกฯก็เดินหน้าทำงานทันที โดยเฉพาะการหารายได้เข้าประเทศ ต้องยอมรับในความมุ่งมั่นตั้งใจ คิดเร็วทำไว เดินสายพกประเทศไทยใส่กระเป๋าไปโรดโชว์จีบนักลงทุนทั่วโลก ประกาศตัวเป็นเซลส์แมนเต็มรูปแบบ แต่ในทางการเมือง ยังถูกมองว่ไม่ใช่นายกฯตัวจริง เงาของคนในตระกูล “ชินวัตร” ยังปกคลุม เปรียบเสมือนตัวแสดงแทน หรือสแตนด์อิน เพราะเคยหลุดปากขณะออกงานพร้อม น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวสุดที่รักของนายใหญ่ หนึ่งในแคนดิเดตนายกฯพรรค พท.เช่นกันว่า “นายกฯ คนไหน มีนายกฯ ๒ คน” อีกทั้งหลายนโยบายก็ถูกวิจารณ์ว่าต่อยอดมาจากนโยบายเดิม รัฐบาลนายทักษิณและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรtt tt“ภูมิธรรม” ได้ฉายา “รองกอง”นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการพาณิชย์ ฉายา “รองกอง” รองนายกฯคนที่ ๑ คนที่นายกฯต้องเชื่อใจและปล่อยให้ดูแลทุกอย่าง เมื่อต้องออกไปเดินสายขายของในต่างประเทศ ต้องรับเละทุกงานในมิติการเมือง และถูกโยนให้รับผิดชอบเป็นเจ้าภาพหลักหลายเรื่อง ที่นายกฯหลายยุคหลายสมัยต้องนั่งหัวโต๊ะ กลับกลายเป็นการประชุมครั้งแรกของรัฐบาลนี้ รองนายกฯที่ชื่อ “ภูมิธรรม” ต้องทำหน้าที่แทน นับตั้งแต่การจัดตั้งรัฐบาล การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปัญหาประมง กลุ่มพีมูฟ สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ EEC หรือแม้แต่ช่วงวิกฤตินาทีชีวิตแรงงานไทยในอิสราเอล ประชุมนัดแรกก็ยังเป็น “ท่านรอง ภูมิธรรม” ไหนจะงานหลักในกระทรวง ปัญหาของแพง ราคาอ้อย น้ำตาล อีนุงตุงนัง กองสุมอยู่รอบตัว เหมือนลองกองผลดกพวงยาว กิ่งใหญ่“สุทิน” ไปถึงฝัน “พลิกทินสู่ดาว”ส่วนนายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกลาโหม ได้ฉายา “พลิกทินสู่ดาว” ได้ยินแทบไม่เชื่อหู ใครเห็นเป็นต้องขยี้ตา เมื่อพลเมืองเต็มขั้นเคยรับเงินเดือนครู หลงใหลในดนตรีหมอลำ ผันตัวเข้าสู่แวดวงการเมือง ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับกองทัพ นอกจากนามสกุล “คลังแสง” ขนาดเจ้าตัวยังไม่เคยนึกฝันว่าชีวิตนี้จะได้เป็น รัฐมนตรีว่าการกลาโหม แต่ด้วยบุคลิกสุภาพ ใจเย็น มืออ่อน และลีลาร้องรำน่าเอ็นดู จึงเข้าได้กับทหารทุกกรมกอง พลิกชีวิตลูกอีสานสู่ดาวเจิดจรัสเฉิดฉาย ท่ามกลางเหล่าทัพได้อย่างแนบเนียน“ทวี สอดไส้” ของ รัฐมนตรีว่าการยุติธรรมด้าน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการยุติธรรม ฉายา “ทวี สอดไส้” ยิ่งกว่านอนมาสำหรับตำแหน่งเจ้ากระทรวงยุติธรรม เต็งหนึ่งชื่อเดียวแบบไร้คู่แข่งมาตั้งแต่ต้น สะท้อนความไว้วางใจจากนายใหญ่แค่ไหนคงไม่ต้องพูด ถึงแม้จะไม่โดดเด่นในการบริหารราชการช่วง ๓ เดือนแรก แต่กลับถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก โดยเฉพาะประเด็น เอื้อประโยชน์ให้กับนายทักษิณ หลังเดินทางกลับมารับโทษ ถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลตำรวจ ทำให้ไม่ต้องนอนคุกแม้แต่คืนเดียว เผือกร้อนแค่ไหนคงไม่ต้องถาม มือพองแค่ไหนก็ต้องถือ กว่านายทักษิณจะออกจากคุก ต้องถูกจ้องถล่มอีกมากแค่ไหนคงไม่ต้องเดาเขยแสบทำ “มาเฟียละเหี่ยใจ”นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการมหาดไทย ได้ฉายา “มาเฟียละเหี่ยใจ” นักการเมืองชื่อดังแห่ง จ.อุทัยธานี ประวัติโลดโผน ภาพจำพัวพันวงการนักเลงถูกประทับตรามาเฟีย ผู้คนยกสถานะให้เป็นผู้ทรงอิทธิพล แต่เจ้าตัวก็ปฏิเสธมาโดยตลอด พร้อมให้คำจำกัดความตัวเองไว้ว่า “ความดีพอสมควร ความชั่วพอประมาณ สันดานพอคบได้” หน้าที่การงานในตำแหน่งรัฐมนตรีได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญเป็นโต้โผปราบปราม “ผู้มีอิทธิพล” จนฮือฮากันทั้งประเทศ แต่ยังไม่ทันได้สร้างผลงาน “ลูกเขย” ก็สร้างเรื่องก่อน ถูกตำรวจกองบังคับการป้องกันปราบ ปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ปปป.) จับกุมในข้อหาเรียกรับสินบนจากผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการระบบประปาหมู่บ้านแบบบาดาล ๒ โครงการ งานนี้ เก้าอี้รัฐมนตรีร้อนระอุ เปิดแถลงข่าวภายใน ๒๔ ชั่วโมง สั่ง “ลูกเขย” ยื่นใบลาออกทันที ไม่ต้องรอสอบสวน ลั่นเป็นลูกเขยชาดาสปิริตต้องมากกว่าคนอื่น“ทำงานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย” วาทะแห่งปีวาทะแห่งปีคือ “ผมจะทำงานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย” นายเศรษฐาประกาศเมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม๒๕๖๖ หลังพิธี รับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นนายกฯ ที่ทำการพรรคเพื่อไทย ขอทำหน้าที่นายกฯ ที่ไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย เป็นรัฐบาลที่จะทุ่มเททำงานหนัก รับฟังเสียงของประชาชน นำความสามัคคี กลับคืนสู่คนในชาติ แต่ทำงานยังไม่ถึง ๔ เดือน กลับขอลาพักผ่อนกับครอบครัวเป็นเวลา ๔ วัน จนชาวโซเชียลอดแซวไม่ได้ แต่ถ้าถามนักข่าวหลายคน ที่คุ้นเคย และตามติดภารกิจนายเศรษฐาต่างรู้ซึ้งดี ถึงคำว่า “ทำงานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย” แทบทุกคน ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ตามนายกฯ ๓ เดือนเหมือน ๓ ปี ให้สัมภาษณ์ทุกที่ที่มีโอกาส ถึงไม่เห็นหน้าก็มา ทางโซเชียล ค่ำคืนไม่พักไม่ผ่อน โพสต์ประเด็นร้อนทันใจ “ภูเก็ตก็แค่ปากซอย” นักข่าวพิสูจน์แล้วนายกฯทำได้จริง พร้อมสะท้อนปัญหาหลักของนายกฯ ที่มักบอกว่าเป็นคนพูดตรงคือ การสื่อสารหลายครั้ง นำภัยมาสู่ตนนายกฯอารมณ์ดีเข้าใจสีสันสื่อต่อมาเวลา ๑๑.๑๕ น.ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการคลัง ให้สัมภาษณ์หลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงกรณีสื่อทำเนียบตั้งฉายา เซลส์แมนสแตนด์ “ชิน” ว่า เข้าใจทุกปีจะมีการตั้งฉายา เป็นเรื่องของสีสัน คำว่าเซลส์แมนทราบอยู่แล้ว เพราะประกาศตัวอยู่แล้ว ส่วนสแตนด์ “ชิน” เป็นคำควบกล้ำระหว่างภาษาไทยกับภาษาอังกฤษหรือเปล่า สื่อต้องอธิบายให้ฟัง เมื่อถามว่า คำว่าสแตนด์ “ชิน” ในคำบรรยายหมายความว่าอาจเป็นเงาของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่รอการขึ้นมาเป็นนายกฯ นายเศรษฐาตอบว่า “อ๋อ โอเค แต่วันนี้ผมก็เป็นนายกฯอยู่ ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ และพยายามตั้งใจเอาให้ครบ ๔ ปีให้ได้ แต่สำคัญมากกว่านั้นไม่ใช่อยู่ไปให้ครบ ๔ ปี แล้วชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนไม่ได้ดีขึ้น ส่วนสแตนด์ “ชิน” คือคอยสำหรับให้ครอบครัวไหนเข้ามา อันนี้พี่น้องประชาชนเป็นคนตัดสิน เข้าใจไม่ได้คิดอะไรโวรัฐบาลครบรส–รัฐมนตรีครบเครื่องผู้สื่อข่าวถามว่ามองอย่างไรกับฉายารัฐบาล แกงส้ม “ผลัก” รวม นายกฯตอบว่า แกงส้มเป็นแกงที่มีรสชาติดี รู้ว่าเรารวมกันหลายพรรค รสชาติแกงส้ม ก็มีทั้งเปรี้ยว หวาน เค็ม เผ็ด ใช่ไหม คิดว่ารัฐมนตรีทุกคนครบเครื่องพร้อมทำงานให้พี่น้องประชาชน เมื่อถามย้ำว่าคำว่า “แกง” หมายถึงการแกล้งพรรคก้าวไกลในช่วงต้นๆ นายเศรษฐาตอบว่า ไม่ทราบ แต่พรรค พท.โหวตให้ในตอนนั้น แต่ไม่สามารถรวบรวมเสียงได้ และเราก็ไม่สามารถคอยได้ ๙-๑๐ เดือน ต้องทำหน้าที่กันไป ประเทศคอยไม่ได้ ไม่ได้แกล้งแน่นอน เมื่อถามว่าจะรักษาบรรยากาศพรรคร่วมรัฐบาลให้อยู่ครบเทอมถึง ๔ ปีใช่หรือไม่ นายกเศรษฐาตอบว่า อยู่ที่ผลงานของเรา ดูที่ความตั้งใจของรัฐมนตรีทุกท่าน ไม่ได้มองแยกว่าเป็นรัฐมนตรีจากพรรคไหน เอาผลงานเป็นที่ตั้งแฮปปี้กับ ๓๑๔ เสียงเพียงพอแล้วเมื่อถามว่า ๓๑๔ เสียง แปลว่าจะไม่มีการปรับพรรคไหนมาหรือปรับออกใช่หรือไม่ นายกฯกล่าวว่า อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน แต่วันนี้เรามีความสุขอยู่แล้วตรงนี้ เชื่อว่ารัฐมนตรีทุกคนจากทุกพรรค ทำงานอย่างเต็มที่ และตนก็ตระหนักดีพี่น้องสื่อมวลชนให้ข้อคิดตลอดเวลา มีปัญหาตรงไหน ต้องแก้ไขตรงไหน ต้องปรับปรุงอย่างไร เป็นแรงกระตุ้นให้รัฐมนตรีทุกคนทุกพรรคช่วยกันทำงาน เมื่อถามว่าการจะมีพรรคไหนเข้ามาเพิ่มนายกฯก็พร้อมพิจารณาใช่ หรือไม่ นายเศรษฐาตอบว่า ตอนนี้ไม่ได้คิด เชื่อว่า ๓๑๔ เสียงยังทำงานกันได้ดีอยู่ เราโอเคอยู่แล้ว เพียงพอต่อการบริหารราชการแผ่นดิน เมื่อถามว่าถ้าได้มาเพิ่มอีก ๒๕ เสียงจากพรรคประชาธิปัตย์จะทำให้ดีขึ้นหรือไม่ นายเศรษฐาตอบว่า ในแง่ของตัวเลขก็อาจดีขึ้น แต่ในแง่ที่ต้องมาเกลี่ยมาแบ่งกระทรวงกันใหม่ มันก็ลำบากขึ้น ไม่มีอะไรดีหมด ขอให้ยึดคำที่พูดไว้วันนี้ ๓๑๔ เสียงพอแล้ว ผลงานก็เริ่มทยอยออกมาแล้ว“ซานต้านิด” มอบของขวัญคนไทยนายเศรษฐากล่าวต่อว่า ในที่ประชุม คณะรัฐมนตรีวันนี้ รัฐบาลและหน่วยงานรัฐมอบของขวัญปีใหม่ให้กับพี่น้องประชาชน ๒๕๕ โครงการ ให้โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแถลงรายละเอียดพร้อมกับกล่าวอวยพรเนื่องในโอกาสขึ้นปีใหม่ ๒๕๖๗ ว่า ขอให้ทุกคนพักผ่อนกัน ขอให้ทุกคนที่เดินทางกลับไปเยี่ยมญาติพี่น้องที่ต่างจังหวัด ให้ระมัดระวังการขับขี่รถ อย่าดื่มแอลกอฮอล์แล้วขับรถ ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จนายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายก รัฐมนตรี แถลงว่า ก่อนการประชุม ครม. นายกฯขอบคุณของขวัญ ๒๕๔ รายการ จาก ๒๔ หน่วยงาน ที่มอบให้ประชาชนช่วงเทศกาลปีใหม่ อาทิ คมนาคม ให้ขึ้นทางด่วนฟรีในเส้นทางออกต่างจังหวัดเป็นเวลา ๗ วัน ระหว่างหลังเที่ยงคืนวันที่ ๒๗ ธันวาคมถึงเที่ยงคืนวันที่ ๓ ม.ค. กระทรวงสาธารณสุขจะทำงานเชิงรุกช่วงปีใหม่ มีหน่วยขึ้นไปตรวจมะเร็ง วัดสายตาให้เด็ก ให้บริการประชาชน“ภูมิธรรม” ขอบคุณกระจกสะท้อนนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและ รมว. พาณิชย์ กล่าวถึงกรณีสื่อมวลชนที่ตั้งฉายา “รองกอง” ว่า รองนายกฯทุกคนได้รับความไว้วางใจจากนายกฯ อยู่ที่ว่าเป็นงานด้านใด ขอบคุณสื่อมวลชนที่ให้กำลังใจการทำงาน สื่อเป็นกระจกสะท้อนที่เห็นและบอกว่ารู้สึกอย่างไร รัฐมนตรีที่ถูกตั้งฉายามีหน้าที่อย่างเดียวคือต้องไปตรวจสอบตัวเอง เช่น ตนเป็นรองกองก็ต้องไปนั่งคิดว่าเรากองอะไรไว้บ้าง ความหมายคืออะไร ส่วนฉายารัฐบาล “แกงส้มผลักรวม” จริงๆ แกงส้มผักรวมอร่อย และตนชอบทาน ยิ่งเอาผักหลายชนิดมารวมกันยิ่งเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ แกงส้มผักรวมอาจติดระดับมิชลินได้ ผู้สื่อข่าวพยายามสื่อสารว่าฉายาที่ตั้งให้ใช้คำว่าผลัก ไม่ใช่ผัก คือผลักพรรคก้าวไกลออกจากการจัดตั้งรัฐบาล นายภูมิธรรมตอบว่า พวกเราผ่านสภาพปัญหาที่เป็นวิกฤติประเทศมาด้วยกัน ช่วยผลักดันจนตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ ทำงานด้วยกันแบบไม่มีปัญหา ยืนยันตามที่นายกฯบอกว่า ๓๑๔ เสียง มีความมั่นคง ไม่มีว่อกแว่ก มีแต่จะช่วยกันทำงานให้หนักขึ้น เพราะนายกฯขยันtt tt“สุทิน” ยิ้มรับ “พลิกทินสู่ดาว”ขณะที่นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกลาโหม กล่าวว่า สื่อตั้งฉายาอะไรให้ก็ดีทั้งนั้น เคารพในวิจารณญาณสื่ออยู่แล้ว การทำงานต้องทำให้ไปสู่ดาวจริงๆ หวังว่า ปีหน้าปีต่อไปจะไม่ใช่ดาวดับ ต้องทำงานให้เป็นดาวเด่น เมื่อถามว่าชินกับการเป็นดาวแล้วหรือยัง นายสุทินตอบว่า “เป็นดาวไม่แน่ใจนะ แต่เป็นรัฐมนตรีชินแล้ว มั่นใจว่าจะทำให้เป็นดาวค้างฟ้าได้ ตอนนี้เอาเป็นว่าไม่เป็นรัฐมนตรีที่แย่กว่าคนก่อนๆ เอามาตรฐานไม่ตกจากคนก่อนๆ” เท่าที่สัมผัสได้มีอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงไประหว่างรัฐมนตรีที่เป็นพลเรือนกับรัฐมนตรีที่ไม่ได้เป็นพลเรือนบรรยากาศเปลี่ยน ถ้าเราทำให้ประชาธิปไตยเดินหน้าได้ พัฒนาบ้านเมืองได้ ถือว่าเป็นความสำเร็จแล้วtt tt“ทวี” บอกเคารพสื่อไม่มีติดใจพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการยุติธรรม กล่าวถึงฉายา “ทวี สอดไส้” ที่สื่อทำเนียบตั้งให้ว่า เป็นมุมมองที่ต้องเคารพสื่อ เป็นคนสาธารณะก็แล้วแต่มุมมอง ไม่ได้เสียหายอะไร สังคมต้องดูที่ผลงานมากกว่า ผู้สื่อข่าวถามว่ามองว่าการตั้งฉายาจะเป็นการสะท้อนการทำงานของรัฐบาลในช่วง ๓ เดือนที่ผ่านมา รวมถึงตัวรัฐมนตรีเองด้วยหรือไม่ พ.ต.อ.ทวีตอบว่า มองว่าฉายาจากสื่อเราต้องเคารพ สื่ออาจมีมุมมองและประสบการณ์ ยืนยันว่าไม่ติดใจtt tt“ชาดา” ครวญเพลง “หัวใจละเหี่ย”ด้านนายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการมหาดไทย เดินทางเข้าทำเนียบมาประชุม คณะรัฐมนตรีอย่างอารมณ์ดี พร้อมร้องเพลง “หัวใจละเหี่ย” ของไข่ มาลีฮวนน่า ท่อนที่ว่า “บางครั้งหัวใจละเหี่ย เหนื่อยท้อแท้นั่งเศร้าคนเดียว หนทางยาวไกลๆ” ก่อนให้สัมภาษณ์ถึงฉายาว่า “เป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องทำกันทุกปี ทุกรัฐบาลก็ทำ เป็นเรื่องการหยอกล้อกันธรรมดา ไม่ถือสาอะไรถือว่าสนุกสนานดี แต่บังเอิญผมไม่ใช่น้าไข่ แต่ชอบเพลงนี้หัวใจละเหี่ย” ก่อนจะร้องเพลงท่อนดังกล่าวอีกครั้ง เมื่อถามย้ำว่าแล้วละเหี่ยท้อแท้จริงหรือไม่ แต่นายชาดาไม่ตอบคำถาม“อนุทิน” โหน ๓๑๔ เสียง รบ.แน่นปึ้กนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและ รมว. มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณีนายกฯเชื่อมั่นในเสียงของรัฐบาลที่มีอยู่ขณะนี้ ๓๑๔ เสียงว่า ถือเป็นเสถียรภาพของรัฐบาล สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลมีความเป็นปึกแผ่น ผลักดันกฎหมาย และเรื่องต่างๆที่มีประโยชน์ต่อประชาชน ต่อประเทศชาติได้ เมื่อถามว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะมีสมาธิในการทำงานเต็มที่ใช่หรือไม่ นายอนุทินตอบว่า การทำงานต้องมีสมาธิอยู่แล้ว หากเราทำสิ่งที่ดีไม่ว่าจะมีกี่เสียง ประชาชนก็พร้อมสนับสนุน แต่ถ้าทำไม่ดีมี ๕๐๐ เสียงเขาก็ไม่สนับสนุน พรรคภูมิใจไทยเมื่อเราอยู่ในรัฐบาลก็จะสนับสนุนภารกิจของนายกฯ และรัฐบาล ทำงานให้บ้านเมืองอย่างเต็มที่พปชร.อวยพรปีใหม่ “บิ๊กป้อม”เวลา ๑๒.๒๔ น. ที่มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ ๕ จังหวัด แกนนำและผู้บริหารพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นำโดย พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รัฐมนตรีว่าการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประธานยุทธศาสตร์พรรค พปชร. ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการเกษตรและสหกรณ์ เลขาธิการพรรค นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการสาธารณสุข รองหัวหน้าพรรค เข้าพบ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค พปชร. เพื่อกราบสวัสดีปีใหม่ ๒๕๖๗ โดย พล.อ.ประวิตรกล่าวทักทายสมาชิกด้วยสีหน้ายิ้มแย้มสดใส พร้อมกล่าวอวยพรปีใหม่ว่า ขอฝากพรรคไว้กับทุกคน ช่วยกันดูแลพรรคให้เข้มแข็ง เราอยากพัฒนาเป็นสถาบันการเมือง ทั้งนี้ พล.ต.อ.พัชรวาท เป็นตัวแทนมอบพวงมาลัย และกล่าวคำอวยพรให้กับ พล.อ.ประวิตร ขอเป็นกำลังใจให้ลูกพรรคทุกคน และขอให้มีสุขภาพแข็งแรง“ทวี” อ้างราชทัณฑ์ยังไม่รายงานวันเดียวกัน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการยุติธรรม กล่าวถึงการนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เกินกว่า ๑๒๐ วันแล้วว่า การนอนพักรักษาตัวภายนอกเรือนจำ หรือที่โรงพยาบาลตำรวจของนายทักษิณ ยังไม่ได้รับ รายงานความเห็นแพทย์จากนายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ตามกฎระเบียบระบุชัดเจนว่าต้องนอนพักรักษาตัวเกินกว่า ๑๒๐ วัน พร้อมยืนยันว่า อธิบดีกรมราชทัณฑ์ยังไม่ได้เสนอขึ้นมาให้รับทราบโบ้ย ขรก.แหยงปมนักโทษวีไอพีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเสียงวิจารณ์ประเด็นนายทักษิณว่า ไม่กระทบต่อเสถียรภาพรัฐบาล เงื่อนไขกฎหมาย ระเบียบราชทัณฑ์ มีกรอบปฏิบัติชัดเจน หากข้าราชการทำตามก็เดินหน้าไปปกติ แต่ถ้าทำอย่างไม่จริงใจ ไม่เข้าใจจะเป็นปัญหา ต้องแก้ปัญหาเหล่านี้ โดยให้ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ทำทุกอย่างให้โปร่งใส การปั่นกระแสนายทักษิณเป็นนักโทษเทวดา เป็นเพราะ หน่วยงานทั้งหลายชี้แจงไม่เคลียร์ ไม่กล้าตอบ ไม่รู้ กฎเกณฑ์แท้จริง ทำงานเช้าชามเย็นชาม เมื่อถามว่า กรณีดังกล่าวถูกโยงไปถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะได้เดินทางกลับมาไทย นายสมศักดิ์ตอบว่า ไม่ต้องโยง เป็นไปตามกฎเกณฑ์ หากเราไม่ได้คนที่ทำงานเข้าใจในระเบียบอย่างแท้จริง จะเป็นปัญหาแบบนี้สว.แฉ “ทักษิณ” มีอภิสิทธิ์พิเศษที่รัฐสภา มีการประชุมวุฒิสภา มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา เป็นประธานการประชุม ก่อนเข้าสู่วาระประชุมเปิดโอกาสให้สมาชิกหารือปัญหาต่างๆ นายสมชาย แสวงการ สว. หารือว่า คณะ กรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา เชิญตัวแทนกรมราชทัณฑ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) มาชี้แจงกรณีพักโทษให้นักโทษเด็ดขาดที่ไปรักษาตัวนอกเรือนจำเกินเวลา ๑๒๐ วัน ตัวแทนกรมราชทัณฑ์ชี้แจง การอนุญาตให้นายทักษิณไปรักษาตัวนอกเรือนจำ ที่ชั้น ๑๔ รพ.ตำรวจ ผู้บัญชาการเรือนจำทำเรื่องขอ อนุมัติส่งไปยังอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และแจ้ง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการยุติธรรม รับทราบตามหลักเกณฑ์ พร้อมหลักฐานสำคัญคือคำวินิจฉัยแพทย์ที่ลงนามในใบรักษาให้รักษาตัวต่อเนื่อง อีกทั้งกรมราชทัณฑ์ระบุไม่มีอำนาจนำตัวผู้ต้องขังกลับจากโรงพยาบาลตามความเห็นแพทย์ที่ให้รักษาตัวต่อเนื่อง ขอให้นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ พ.ต.อ.ทวีตรวจสอบนักโทษ ที่ได้รับสิทธิดังกล่าวป่วยด้วยโรคอะไร เท่าที่ทราบคือ โรคธรรมดา ความดัน เส้นเลือดตีบ โควิด ติดเชื้อที่ปอด กระดูกเสื่อม ไม่จำเป็นต้องรักษาเกินระเบียบ ต้องเป็นโรคร้ายแรงใกล้วาระสุดท้ายนอนติดเตียงข้องใจหมอแจ้งเท็จอาการป่วยนายสมชายกล่าวอีกว่า การควบคุมนักโทษตามระเบียบกรมราชทัณฑ์ กำหนดให้มีผู้คุมดูแลผลัดละ ๒ คน และต้องถ่ายรูปคู่นักโทษที่รักษาตัวนอกเรือนจำทุก ๒ ชั่วโมงเพื่อรายงาน แต่ กมธ.ทราบว่า กรมราชทัณฑ์ไม่เคยเข้าไปตรวจ ขอให้ รัฐมนตรีว่าการยุติธรรม ปลัดกระทรวง อธิบดีกรมราชทัณฑ์ตรวจสอบ ไม่ใช่ การคุกคามคนป่วย แต่ไปดูว่าแพทย์ได้ตรวจ หรือ ให้ความเห็นเป็นเท็จหรือไม่ หากต้องการความช่วยเหลือ กมธ.วุฒิสภาที่เกี่ยวข้อง และ กสม.พร้อมไปด้วย ยืนยัน ไม่มีอคติการอ้างกล้องวงจรปิดในโรงพยาบาลเสีย ไม่น่าเชื่อถือ ให้คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่า ส่วนบุคคล หาก สตช.ไม่มีงบประมาณเปลี่ยนจะออกค่าใช้จ่ายให้ ขอให้แพร่ภาพมายังวุฒิสภาตลอด ๒๔ ชั่วโมง หากไม่ดำเนินการจะให้ฝ่ายค้านตัดงบกรมราชทัณฑ์ทั้งหมด๘ ภาคียื่นยกเลิกกฎขังนอกคุกช่วงสายที่ศาลปกครอง นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี นายอานนท์ กลิ่นแก้ว ประธาน ศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) และภาคี เครือข่ายรวม ๘ ราย ยื่นฟ้อง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการยุติธรรม และอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ต่อศาลปกครอง สูงสุด ให้เพิกถอนระเบียบกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการ ดำเนินการคุ้มครองในสถานที่คุมขัง และกฎกระทรวงกำหนดสถานที่คุมขัง ขอให้ศาลกำหนดมาตรการบรรเทาทุกข์ชั่วคราว และระงับใช้กฎหมายทั้ง ๒ ฉบับ ไว้ก่อน นพ.วรงค์กล่าวว่า การออกกฎหมาย ๒ ฉบับ ทำให้ฝ่ายบริหาร โดยเฉพาะกรมราชทัณฑ์มีอำนาจเหนือตุลาการ เปลี่ยนคำพิพากษาศาลจากจำคุกเป็นโทษ คุมขังหรือกักขังได้ ทำลายระบบตุลาการ หลักนิติรัฐ นิติธรรม หมิ่นเหม่ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๗๙ เนื่องจากการอภัยโทษ ลดโทษ เปลี่ยนโทษคือพระราชอำนาจเค้นคำตอบยังอยู่ชั้น ๑๔ หรือไม่นพ.วรงค์กล่าวว่า สิ่งที่ผู้รับผิดชอบ ทั้งกรม ราชทัณฑ์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รัฐมนตรีว่าการยุติธรรม และรัฐบาลต้องแถลงคือ นายทักษิณป่วยหนักจนโรงพยาบาลกรมราชทัณฑ์ไม่สามารถรักษาได้จริงหรือไม่ และปัจจุบันนายทักษิณยังอยู่ชั้น ๑๔ รพ.ตำรวจ จริงหรือไม่ หรืออยู่เฉพาะชื่อแต่ตัวไม่อยู่ เพราะ พระราชบัญญัติราชทัณฑ์ มาตรา ๕๕ วรรคสาม เขียนชัดว่า การรักษาตัวนอกราชทัณฑ์ ถ้าเจ้าตัวไม่อยู่ถือว่าเข้าข่ายหนีคุก กรมราชทัณฑ์ต้องสื่อสารให้ประชาชนเห็นว่านายทักษิณยังอยู่ชั้น ๑๔ หรือไม่tt ttฎีกายกฟ้อง “ยิ่งลักษณ์” ย้าย “ถวิล”ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีที่อัยการสูงสุด ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีมีคำสั่งโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในขณะนั้น พ้นจากตำแหน่งโดยไม่ปฏิบัติตาม พระราชบัญญัติข้าราชการพลเรือน โดยองค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมากเห็นว่า แม้จะเคยมีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ กรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์โยกย้ายนายถวิลเป็นการก้าวก่ายแทรกแซงเพื่อประโยชน์ของตัวเองหรือผู้อื่น มีผลทำให้ความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์สิ้นสุดลง ส่วนคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดก็มีประเด็นเพียงว่า คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีให้นายถวิลไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่เท่านั้น แต่ไม่มีประเด็นมาผูกพันให้ศาลฎีกาฯ ต้องรับฟังตาม จากการไต่สวนข้อเท็จจริงไม่อาจฟังได้ว่าจำเลยมีเจตนาพิเศษ เพื่อให้เกิดความ เสียหายแก่นายถวิล และจำเลยมิได้มีเรื่องขัดแย้งกับ นายถวิลส่วนตัว เป็นมูลเหตุจูงใจให้กลั่นแกล้งแต่อย่างใด และไม่มีพยานหลักฐานบ่งชี้ชัด แจ้งว่าการโยกย้ายนายถวิลมีเจตนาเพื่อให้ตำแหน่ง ผบ.ตำรวจว่างลง เพื่อเปิดทางให้พวกพ้องตัวเองมาเป็น ผบ.ตร. จึงไม่มี ความผิดฐานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ พิพากษายกฟ้องให้ถอนหมายจับคดีนี้อัยการคัดคำพิพากษาเสนอ อสส.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังฟังคำพิพากษา พนักงานอัยการที่เดินทางมาฟังคำพิพากษา กล่าวก่อนเดินทางกลับสั้นๆว่า ต้องคัดคำพิพากษาเสนอไปยังอัยการสูงสุดพิจารณาต่อไป เนื่องจากเรื่องการอุทธรณ์ อัยการสูงสุดเป็นผู้มีอำนาจเพียงผู้เดียวทนายชี้ต้องดูที่เจตนาเป็นสำคัญด้านนายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า สาระสำคัญคำพิพากษาวันนี้คือ การเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของข้าราชการทั้งหมด การโยกย้ายเป็นไปตามกฎหมายข้าราชการพลเรือนมาตรา ๕๗ ประเด็นที่สองคือเรื่องของการกระทำผิดทางอาญา ต้องดูเจตนาเป็นสำคัญ ไม่มีเจตนาพิเศษที่จะกลั่นแกล้งนายถวิล เรื่องนี้ เป็นประเด็นสำคัญในทางกฎหมาย กรณีที่กล่าวหาว่าอดีตนายกฯมีส่วนแทรกแซง ก้าวก่ายหรือสั่งการ ก็ไม่มีพยานยืนยันชัดเจนว่าได้ไปแทรกแซง สอดรับกับพยานบุคคลที่เรานำไปไต่สวน ๒ ปาก คือ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น ยืนยันว่าไม่มีการสั่งการ รวมถึงที่อ้างว่าไปเอื้อประโยชน์ ให้เครือญาติคือ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ อดีต ผบ.ตร. ก็ไม่มีหลักฐานใดยืนยันว่ามีการเชื่อมโยงกัน อย่างชัดเจน ทั้งหมดจึงเป็นเรื่องที่ศาลมองว่าไม่มีการกระทำเจตนาพิเศษโต้มัดมือชกคำถามประชามติอีกเรื่อง นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายก รัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการพาณิชย์ ประธานคณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติเพื่อ แก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างเรื่องรัฐธรรมนูญปี ๒๕๖๐ กล่าวถึงกรณีนายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต. โพสต์เฟซบุ๊กวิจารณ์คำถามประชามติของคณะ กรรมการฯ เป็นคำถามมัดมือชกว่า มัดมือชกตรงไหน เรารับฟังความเห็นทั่วถึงที่สุดโดยใช้เสียงส่วนใหญ่ แม้แต่พรรคก้าวไกลที่ไม่ร่วมในคณะกรรมการฯ เราก็รับฟังไม่ทอดทิ้งเสียงเห็นต่าง ขณะนี้เสียงที่ดังในโซเชียลคือนักเคลื่อนไหว แต่เสียงส่วนใหญ่ไม่รู้สึก แบบนั้น ต้องถามนายสมชัยว่ามัดมือชกหรือขัดหลัก ประชาธิปไตยตรงไหน ยืนยันทำตามกระบวนการประชาธิปไตยทั้งหมด อย่าใช้อารมณ์ อย่าถือข้าง เอาความต้องการตัวเองเป็นหลัก เพราะจะนำไปสู่ ความขัดแย้งความรุนแรงได้ เวลานี้อยู่ในขั้นตอนสรุป ให้ชัดเจนเพื่อนำเสนอนายกฯ อำนาจอยู่ที่ คณะรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบในฐานะให้คณะกรรมการชุดนี้ไปศึกษา เรามีความรับผิดชอบ กรรมการทุกคนทำงานครบถ้วน และเห็นว่าเป็นทางออกดีที่สุดนายกฯตื๊อทบทวนค่าแรงใหม่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ แถลงหลังการประชุม คณะรัฐมนตรีถึงการพิจารณาเรื่องค่าแรงว่า คณะกรรมการไตรภาคีเรื่องค่าแรงจะประชุมอีกครั้งภายในเดือน มกราคม๒๕๖๗ เพื่อกำหนดอัตราค่าแรงใหม่ จะพยายามทำให้สูงขึ้น ทุกฝ่ายพยายามทำเต็มที่ เพื่อประกาศใช้ ให้ได้ภายในเดือน มีนาคม๒๕๖๗ เพราะจำเป็นต้องขึ้นปีละครั้ง นอกจากนี้ที่ประชุม คณะรัฐมนตรียังให้ความเห็นชอบ ร่าง พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี ๒๕๖๗ ที่คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจสอบแล้ว เพื่อส่งไปยังสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป“เสี่ยหนู” โวย กมธ.งบฯมีแต่โควตา พท.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในที่ประชุม ครม. สำนักงบประมาณเสนอรายชื่อคณะกรรมาธิการพิจารณาร่าง พระราชบัญญัติงบประมาณฯ ปี ๒๕๖๗ ในสัดส่วนของ ครม. จำนวน ๑๘ คน เบื้องต้นมีการเสนอรายชื่อเข้ามาแค่ ๕ คน ประกอบด้วย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รัฐมนตรีว่าการพาณิชย์ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการคลัง นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการคมนาคม นายจักรพงษ์ แสงมณี รัฐมนตรีช่วยว่าการต่างประเทศ และนายเฉลิมพล เพ็ญสูตร ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ทำให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย แสดงความไม่เห็นด้วย เพราะนอกจากนายเฉลิมพลแล้ว ที่เหลือเป็นรัฐมนตรีสัดส่วนพรรคเพื่อไทย ทำไมไม่เสนอชื่อ มาทั้ง ๑๘ คน ทำให้นายเศรษฐาพยายามไกล่เกลี่ย ขอให้ไปคุยให้ลงตัวก่อนแล้วค่อยเสนอเข้า ครม. ยึดแนวทางที่เคยทำกันมา จากนั้นนางมนพรและนายจักรพงษ์เดินไปพูดคุยกับนายอนุทินจนเข้าใจกันสว.จวกดีแต่พูดช่วยแรงงานไทยที่รัฐสภา มีการประชุมวุฒิสภา มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่ประธานการ ประชุม ก่อนเข้าสู่วาระประชุม ได้เปิดโอกาสให้สมาชิก หารือปัญหาต่างๆ โดย พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร สว. หารือถึงปัญหาช่วยเหลือแรงงานไทยในอิสราเอลที่ถูกจับเป็นตัวประกัน ยังไม่ได้รับการปล่อยตัวว่า มีแรงงานไทยถูกจับเป็นตัวประกันในเหตุสงครามอิสราเอล ๕๔ คน แต่ขณะนี้ยังเหลืออีก ๓๐ คนที่สูญหายและไม่ได้รับความช่วยเหลือ ขอให้รัฐบาลเร่ง ดำเนินการช่วยเหลือแรงงานไทยที่เหลือด้วย ส่วนการ ช่วยเหลือแรงงานไทยที่กลับประเทศไทย ที่จะมีการ ช่วยเหลือให้กู้เงินดอกเบี้ยต่ำเพื่อแก้ปัญหาหนี้สินนั้น พบปัญหาธนาคารไม่สามารถปล่อยกู้ให้แรงงานไทยได้ เพราะไม่มีหลักประกันและไม่มีงานรองรับ เนื่องจากถือเป็นผู้ตกงาน ขอเรียกร้องนายเศรษฐา ทวีสิน นายก รัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการคลัง นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการแรงงาน เมตตาแรงงาน ให้หน่วยงานทำงานเชิงรุก ไม่ใช่ดีแต่พูด ทำงานแบบดังแต่ท่อ แต่ล้อไม่หมุน“ณัฐชา” จวก “ลากตั้ง” แกล้งโง่นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ สส.กทม. พรรคก้าวไกล กล่าวตอบโต้นายสมชาย แสวงการ สว. ที่ระบุว่าการทำประชามติเพื่อแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับ เป็นต้นทุนในการทำประชาธิปไตยอันแสนแพงว่า พอเป็นเรื่องเดินหน้าประเทศให้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เพื่อสถาปนารัฐธรรมนูญของประชาชน พวก สว.แต่งตั้งมรดกจากการยึดอำนาจ ล้มล้างการปกครองและฉีกรัฐธรรมนูญ ห่วงเรื่องความคุ้มค่าขึ้นมาทันที คงลืมมองย้อนไปว่า เงินเดือน สว.แต่งตั้ง และกลไกที่อำนาจเผด็จการตั้งขึ้น คิดเป็นต้นทุนเท่าไหร่ ที่ผ่านมารับประโยชน์จากภาษีประชาชนมาเป็นสิบๆปี ยังไม่นับค่าเสียประโยชน์จากการถ่วงประเทศให้ล้าหลัง ถึงเวลาต้องตั้งสติเสียหน่อยว่ากี่แสนล้านบาทแล้วที่รัฐไทยต้องเสียไปกับการยึดอำนาจ และท่านก็เป็นหนึ่งในผู้ที่รัฐต้องเสียงบประมาณไป อย่าทำพฤติกรรมแกล้งโง่แสร้งเป็นห่วงประเทศเพียงเพื่อโจมตีประชาธิปไตย ทั้งที่รู้ดีแก่ใจว่าหากประเทศเป็นประชาธิปไตยเมื่อไหร่ พวกนิยมเผด็จการทั้งหลายจะหมดช่องทางหากินกับภาษีประชาชนอ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่
“นายกฯเศรษฐา” เซลส์แมนสแตนด์ "ชิน" รัฐบาลแกงส้มผลักรวม ฉายา รมต."ทวี สอดไส้"
Related posts