Friday, 8 November 2024

จับตาส่วยเปิดผับตีสี่อู้ฟู่ ร้านเหล้าเถื่อนผสมโรง

28 Dec 2023
112

สังคมไทยยังเฝ้าเป็นห่วง “อุบัติเหตุบนท้องถนนเพิ่มสูงขึ้น” หลังขยายเปิดผับถึง ๐๔.๐๐ น. นำร่องพื้นที่ ๕ จังหวัด และผับ-บาร์ใน โรงแรมทั่วประเทศ ทำให้สีสันยามค่ำคืนต่างเต็มเป็นไปด้วยความคึกคักแต่ขยายได้เพียงสัปดาห์แรกก็ปรากฏภาพไม่เหมาะสม “เยาวชนหญิงอายุ ๑๖ ปี” ออกมาจากสังสรรค์กับเพื่อนในผับแห่งหนึ่ง “เมาจนขาดสติ” หลับฟุบบนฟุตปาทถนนหน้าอาคารกองสลากเก่า ถนนราชดำเนิน กทม. ทำให้ผู้พบเห็นถึงกับส่ายหัวด้วยความอนาถใจ จากผลพวงตามนโยบายเปิดผับตี ๔ ของกระทรวงมหาดไทยนี้ไม่เท่านั้นยังพบอุบัติเหตุ “หนุ่มขับขี่ จยย.จากร้านเหล้าพุ่งชนรถ จยย. ตำรวจจราจร” ขณะที่กำลังจะออกปฏิบัติหน้าที่ตอนเช้าบนถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ อ.เมืองเชียงใหม่ “สาหัสทั้งคู่” ทั้งยังมีนักท่องเที่ยวต่างชาติขับเก๋งหลังกลับจากดื่มในผับเลิกตี ๔ พุ่งชนคนงานลงสายไฟใต้ดินกลางเมืองเชียงใหม่ดับ ๑ ราย สาหัส ๒ รายอีกด้วยแม้นก่อนหน้านี้ “ภาคประชาชน” พยายามออกมาส่งเสียงถึงรัฐบาลให้ทบทวนนโยบายขยายเวลานี้ เพื่อรับฟังความเห็นให้รอบด้าน และกำหนดมาตรการรับมือให้ชัดสามารถทำได้จริงก่อนเดินหน้า “แต่ก็ไร้ผล” แถมเล็งที่จะขยายเพิ่มในโซนท่องเที่ยวอีกจนมีเสียงค้านผ่าน นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ บอกว่าtt ttนพ.แท้จริง ศิริพานิชนโยบายขยายเวลาปิดสถานบริการตี ๔ “กระตุ้นเงินสะพัดดีขึ้นจริงตรงนี้ไม่เถียง” แต่ถ้ามองอีกด้านก็ส่งผลต่อการเกิดอุบัติเหตุให้มีคนตายเพิ่มขึ้น ใน ๕ จังหวัดนำร่องเช่นกัน อย่างกรณี จ.เชียงใหม่ อุบัติเหตุรถชนกลุ่มคนทำงานในช่วงเช้ามีผู้เสียชีวิตนั้น สะท้อนให้เห็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ต้องแลกด้วยชีวิตของคนนั้นไม่คุ้มกันแน่นอนในช่วงแรก “ตัวเลขอุบัติเหตุจะยังคงไม่สูงมาก” เพราะด้วยเป็นช่วงของผู้บริหารระดับสูงต่างพากันลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมความเรียบร้อย ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องเข้มงวดมาตรการบังคับใช้กฎหมายจริงจัง แต่พอหลังผ่อนคลายมาตรการลงเชื่อว่าตัวเลขอุบัติเหตุบนท้องถนนจะสูงมากขึ้นเรื่อยๆเพราะการขยายปิดผับตี ๔ “เป็นนโยบายให้คนมีเวลาดื่มสุราเพิ่มความเสี่ยงอย่างเป็นรูปธรรม” แต่ในส่วนภาครัฐกลับไม่มีมาตรการด้านความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการให้สถานบริการตรวจวัดแอลกอฮอล์ลูกค้าที่ขับขี่รถมาเที่ยวต้องไม่เกิน ๕๐ mg% ก่อนอนุญาตให้ขับขี่ออกจากร้านก็เป็นมาตรการที่ไม่ชัดเจนเสมือนพูดลอยๆ “สถานบริการไม่ทำก็ไม่มีบทลงโทษใด” เพราะเป็นการขอความร่วมมือส่งผลให้ “ผู้ประกอบการไม่มีอำนาจบังคับคนเมาตรวจแอลกอฮอล์ได้” แถมจ้ำจี้จ้ำไชมากๆลูกค้าหนีไปนั่งกินร้านอื่นอีกฉะนั้นเสนอว่า “ควรออกกฎหมายเอาผิดกับสถานบริการ” กรณีปล่อยให้มีผู้ที่อยู่ในอาการมึนเมาออกมาจากร้านแล้วเกิดอุบัติเหตุต่างๆ เพื่อกระตุ้นให้ผู้ประกอบการปฏิบัติตามมาตรการของภาครัฐกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด “เหมือนดั่งธุรกิจโรงงานอุตสาหกรรม” ถ้าปล่อยน้ำเสียอันตรายเกินกว่ากฎหมายมักต้องถูกสั่งปิดtt ttสิ่งนี้จะเป็นมาตรการป้องกันอันตรายต่อ “สังคมและสาธารณะ” แต่ว่ารัฐบาลกลับยังไม่ดำเนินการใดๆ ปล่อยให้ชีวิตประชาชนมาแลกกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ และส่งเสริมด้านการท่องเที่ยวมากเกินไปหรือไม่เมื่อมาตรการป้องกันไม่อาจควบคุมคนเมาได้ “ความซวยย่อมตกกับผู้บริสุทธิ์” เพราะเวลาตั้งแต่ตี ๔ เป็นต้นไป “มักเป็นช่วงผู้คนออกจากบ้าน” ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้าแม่ค้ามาตลาด คนออกกำลังกาย หรือคนออกไปทำงานแต่เช้าตรู่ และนักเรียนต้องเดินทางไปโรงเรียน ทำให้คนเหล่านี้มีความเสี่ยงโดนคนเมาขับรถชนตามมาได้เสมอแล้วเรื่องนี้สังคมก็สามารถเล็งเห็นผลได้ว่า “สถานบริการปิดตี ๔” ส่งผลกระทบต่อความไม่ปลอดภัยในการดำเนินชีวิตของประชาชนในพื้นที่ ๕ จังหวัดนำร่องเกิดขึ้นแน่นอน ดังนั้นรัฐบาลจำเป็นต้องมีมาตรการปิดกั้นอันตรายที่อาจนำมาสู่ “ผู้บริสุทธิ์ที่ไม่ได้ดื่มสุรา” แต่กลายเป็นว่าจนมาถึงวันนี้ก็ยังไม่มีการดำเนินการใดๆเป็นรูปธรรมเรื่องนี้ขอยกตัวอย่างเปรียบเทียบคล้ายกับกรณี “เปิดกัญชาเสรี” ที่เร่งรีบปลดล็อกออกจากบัญชียาเสพติดเพื่อใช้ในทางการแพทย์ “จนตกอยู่สภาวะสุญญากาศทางกฎหมาย” กระทั่งวันนี้คนออกนโยบายหมดวาระมาตำแหน่งรัฐมนตรีใหม่ “กฎหมายกัญชาก็ยังไม่เกิดขึ้น” จนปรากฏคาเฟ่กัญชาเปิดเพื่อสันทนาการเกลื่อนเมืองกระทั่งทำให้เด็กและเยาวชนสามารถเข้าถึงกัญชาได้ง่าย “เพื่อใช้สันทนาการกันอย่างแพร่หลาย” แม้แต่ผู้ใหญ่เห็นก็ไม่สามารถกระทำการอะไรได้ “กลายเป็นส่งผลกระทบต่อร่างกายของเยาวชนอย่างช้าๆ” แล้วกัญชานี้ก็มีแนวโน้มการเพิ่มของผู้ใช้สูงมากกว่ายาเสพติดตัวอื่นไปแล้วด้วยซ้ำเช่นเดียวกับ “การเร่งรีบนโยบายปิดผับตี ๔” โดยไม่มีกฎหมายควบคุมที่มีประสิทธิภาพก็กำลังกลายเป็นความเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุ นำไปสู่ “การบาดเจ็บและเสียชีวิต” ถ้าเป็นแบบนี้รัฐบาลจะรับผิดชอบหรือไม่ เพราะสร้างปัญหาจาก “การเป็นผู้ออกนโยบายนี้” ที่เปิดโอกาสให้คนดื่มแล้วขับมากจนเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุตามมาtt ttหนำซ้ำยัง “เปิดช่องให้สถานบริการในโรงแรมทั่วประเทศปิดตี ๔ ด้วย” สิ่งนี้ทำให้ผับ-บาร์นอกเขตพื้นที่นำร่อง ๕ จังหวัด “เคลื่อนย้ายเข้ามาในโรงแรมมากขึ้น” เพื่อให้ได้รับการอนุโลมสามารถจะเปิดได้ถึงตี ๔“ถ้าคำนวณดูแต่ละจังหวัดมีโรงแรมไม่ต่ำกว่า ๕ แห่ง และบางอำเภอก็มีโรงแรมให้บริการ รวมทั้งสถานบริการที่ไม่มีใบอนุญาตก็เปิดกันอีกมากมาย แถมมีข่าวลือพร้อมยอมจ่ายเงินเพื่อให้ได้เปิดถึงตี ๔ ด้วยซ้ำ สิ่งนี้กลายเป็นแหล่งผลิตปริมาณคนเมาออกมาบนถนนเพิ่มขึ้น แล้วหน่วยงานในพื้นที่มีกำลังพลพอรับมือไหวหรือไม่” นพ.แท้จริงว่าปัญหาน่ากังวลคือ “เปิดช่องให้เจ้าหน้าที่บางคนเรียกรับผลประโยชน์” เพราะด้วยจุดอ่อนของประเทศไทยมักมีข่าวเกี่ยวกับ “การทุจริตคอร์รัปชัน” อย่างเช่น สถานบันเทิงย่านดังแห่งหนึ่งใน กทม. “มีสถานบริการอยู่ ๕๐ แห่ง” ในจำนวนนี้มีใบอนุญาตถูกต้องเพียง ๕ แห่ง ส่วนที่เหลือเป็นผับ-บาร์เถื่อนแต่สามารถเปิดได้ปกติอย่างไรแม้แต่สถานบริการมีใบอนุญาตก็ยังมีข่าวว่าต้องจ่ายส่วยเช่นกัน เพราะถ้าไม่ยอมเสียจะถูกรังควานหลากหลายรูปแบบ “จนทนไม่ไหวต้องจ่ายในที่สุด” เพื่อตัดปัญหาไม่ต้องถูกตรวจอันจะมีผลกระทบต่อลูกค้า แล้วยิ่งออกระเบียบขยายเวลาปิด-เปิดนี้ อาจเป็นช่องทางให้เจ้าหน้าที่บางคนเข้ามาเรียกรับผลประโยชน์มากขึ้นหรือไม่ซ้ำร้ายแล้วปัจจุบัน “กฎหมายจราจรใหม่” กรณีผู้ขับขี่ไม่ยอมเป่าเครื่องวัดแอลกอฮอล์ให้สันนิษฐานว่าเมาแล้วขับ สามารถดำเนินคดีได้เลย “มีโทษจำคุกไม่เกิน ๑ ปี ปรับตั้งแต่ ๑–๒ หมื่นบาท” เรื่องนี้อาจกลายเป็นผลประโยชน์ไปตกอยู่ที่เจ้าหน้าที่บางคนอีกหรือไม่ เพราะคนไทยบางกลุ่มพร้อมจ่ายแบบวินวินดีกว่าถูกดำเนินคดีtt ttทำให้คนเมาแล้วขับ “ไม่เกรงกลัว” เพราะเมื่อเกิดอุบัติเหตุบางคนประวิงเวลาตรวจวัดแอลกอฮอล์แล้วการเขียนสำนวนคดีก็มักเป็นความประมาททำให้ศาลพิจารณาตัดสิน “รอลงอาญา” แต่ถ้าตรวจแอลกอฮอล์ทุกเคสที่เกิดอุบัติเหตุ และบรรยายฟ้องเป็นการเล็งเห็นผลที่เกิดอันตรายแก่ผู้อื่น ลักษณะนี้เชื่อศาลจะไม่ปรานีแน่นอนเพื่อทำให้เห็นถึง “การบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวด” เมื่อคนเมาแล้วขับจะมีคุกรออยู่ข้างหน้า โดยเฉพาะคนเมาแล้วขับเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน “เป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิต” ต้องมีการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ทุกกรณีโดยไม่มีข้อยกเว้น ซึ่งไม่ใช่เพียงโทษจำคุก ๑๐ ปี หากรับสารภาพโทษลดลงกึ่งหนึ่งสุดท้ายก็ลดเหลือเพียงรอลงอาญาเท่านั้น ทำให้คนรู้สึกไม่กลัวต่อการกระทำความผิดในเรื่องนี้ฉะนั้นขอเสนอ “ตั้งคณะกรรมการประเมินอุบัติเหตุ” อันประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ภาคประชาชน และภาคสังคม ทำหน้าที่ตรวจสอบผู้เมาแล้วสร้างปัญหาให้สังคมจะต้องสืบย้อนกลับไปเอาผิดกับร้านนั้นๆอย่างไรก็ดี นับแต่นี้ “เครือข่ายภาคประชาชน” จะคงเฝ้าเก็บสถิติอุบัติเหตุ และการตายในช่วงการขยายเปิดสถานบริการทั่วประเทศ และนำมาเปรียบเทียบสถิติย้อนหลังแต่ละไตรมาสในการประเมินศึกษาสถานการณ์ว่าเมื่อขยายเวลาแล้วมีผลกระทบอย่างไรต่อสังคม เพื่อประมวลผลสรุปข้อมูลให้หน่วยงานรัฐทบทวนพิจารณาต่อไปย้ำว่าสถานบริการจะเปิด ๒๔ ชม.ก็ไม่มีใครว่า แต่ต้องมีมาตรการรองรับเข้มงวดควบคุมคนเมาไม่ขับได้ ๑๐๐% จริง แล้วถ้าเกิดปัญหามากกว่าเดิม “รัฐบาล” ในฐานะผู้ปลดล็อกต้องมีคำตอบ และมีส่วนร่วมรับผิดชอบ “ไม่ใช่โยนปัญหาเป็นภาระเจ้าหน้าที่คอยแก้” แต่ตัวเองกลับเอาตัวรอดไปวันๆ.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า ๑” เพิ่มเติม