เริ่มต้นปีมะโรง (งูใหญ่) ที่ประชาชนคาดหวังว่าจะให้เป็นปีมังกรทอง สร้างความเจริญก้าวหน้าเศรษฐกิจเฟื่องฟู รัฐบาล “เศรษฐา ทวีสิน” ในฐานะนายกรัฐมนตรี ก็ต้องแบกรับภารกิจนี้ไปในฐานะผู้อาสาเข้ามาบริหารประเทศประเด็นหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้ในฐานะที่ “เพื่อไทย” เป็นแกนนำรัฐบาลก็คือ “นโยบาย” ที่เคยประสบความสำเร็จได้ใจคนไทยมาตลอดจนได้รับความนิยมอันดับ ๑ มาเกือบทุกยุคสมัยมีเพียงการเลือกตั้งล่าสุดเท่านั้นที่ร่วงมาอยู่อันดับ ๒ แต่ก็ยังเป็นแกนนำรัฐบาล ๑๑ พรรค ๓๑๔ เสียงได้“เศรษฐกิจปากท้อง” คือเรื่องใหญ่สุดที่ท้าทายรัฐบาลว่า จะสามารถบริหารจัดการให้ประสบผลสำเร็จได้หรือไม่คงมิใช่เดิมพันแค่ “เพื่อไทย” เท่านั้น แต่หมายรวมถึง “เศรษฐา” ในฐานะผู้นำประเทศที่มาจากภาคธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างน้อยทรัพย์สินที่แสดงต่อ ป.ป.ช. ๑,๐๐๐ กว่าล้าน ก็พอจะการันตีอะไรบางอย่างได้นั่นคือความสามารถส่วนเฉพาะตัวยิ่งบอกว่าจะอยู่บริหารประเทศต่อไปได้ครบเทอม ๔ ปียิ่งตอกย้ำว่าเขาจะต้องทำให้เศรษฐกิจของประเทศฟื้นตัวขึ้นมาได้อย่างมีนัยสำคัญเพื่อเป็นหลักประกันในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของเขานี่คือจุดหนึ่งที่จะชี้ว่าอนาคตทางการเมืองของเขาจะไปได้แค่ไหน?จากนั้นก็เกี่ยวพันกับการเมืองที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ เพราะตำแหน่งของเขานั้นคือนักการเมือง แต่อยู่ในฐานะฝ่ายบริหารที่จะต้องขับเคลื่อนไปด้วยกันให้ได้มีหลายเรื่องหลายประเด็นจากนี้ไปที่จะต้องเผชิญ แต่เนื่องจากมีเสียงสนับสนุนถึง ๓๑๔ เสียง มากพอที่จะทำให้เสถียรภาพของรัฐบาลมั่นคงโดยปริยายแต่ที่มีการพูดกันมากและมีความเห็นค่อนข้างจะตรงกันก็คือ ประเด็นของ “ทักษิณ” ที่มีอิทธิพลทางการเมืองคนหนึ่งของประเทศบทบาทของเขามี ๒ ด้าน ทั้งแง่บวกและแง่ลบ ถ้าออกในแง่บวกก็จะส่งเสริมให้รัฐบาลเข้มแข็งขึ้นในทุกด้านแง่ลบอาจจะทำให้รัฐบาลพังได้ในพริบตาเช่นเดียวกันวันนี้เขาอยู่ในระหว่างเป็นผู้ต้องขังอีก ๒ เดือนตามกฎระเบียบสามารถขอ “พักโทษ” เพื่อเป็นอิสระพ้นจากการถูกคุมขังได้แต่ในขณะเดียวกัน ก็เกิดแรงเสียดทานทางการเมืองที่มีความรู้สึกว่าเขาได้รับอภิสิทธิ์เหนือประชาโดยทั่วไป เพราะรัฐบาลใช้ “อำนาจแฝง” อุ้มชูเขารัฐบาลรู้เขารู้เราดี!จึงต้องการให้ประเด็นนี้ “นิ่ง” ด้วยการถอด “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รองนายกรัฐมนตรีที่ดูแลกระทรวงยุติธรรมไปคุมกระทรวงสาธารณสุขแทนเหตุของเหตุก็เพราะกุมสภาพไม่ได้จนอาจจะทำให้เป็นเงื่อนไขในการต่อต้าน เพราะทำให้ไม่ได้รับความเชื่อถือจากสังคมและให้ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” จากรวมไทยสร้างชาติมารับผิดชอบแทนเป็นการตัดไฟแต่ต้นลมก่อนจะบานปลายไปมากกว่านี้เท่ากับว่ารัฐบาลก็รู้และมองเห็น จึงต้องดับชนวนจนกว่าจะถึงวัน “พักโทษ” เป็นอิสระ เพื่อให้ทุกอย่างคลี่คลายไปในทางที่ดีมุ่งหวังว่าการเมืองปี ๒๕๖๗ จะสงบราบรื่นไปได้!“สายล่อฟ้า”คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม
Related posts