คนไทยส่วนใหญ่น่าจะได้ยินได้ฟังเป็นครั้งแรกเกี่ยวกับเรื่องที่ออกกฎหมายที่ก้าวหน้าของกรมราชทัณฑ์ จากการอภิปรายร่าง พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี ของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ แห่งพรรคประชาธิปัตย์ ที่ว่ากรมราชทัณฑ์ได้รับงบประมาณ ๑๔,๙๗๒ ล้านบาท เพื่อทำโครงการเกี่ยวกับนักโทษหรือผู้ต้องขังนั่นก็คือการยกระดับการดูแลผู้ต้องขัง ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลและหลักสิทธิมนุษยชน รวมทั้งให้คุมขังนักโทษบางส่วนนอกคุกได้ แต่น่าสงสัยเมื่อมีกฎหมายที่ก้าวหน้า ทัดเทียมนานาอารยประเทศขนาดนี้ ทำไมไม่เปิดเผยต่อประชาชน และกลายเป็นเหตุให้นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายรัฐมนตรีถูกย้ายย้ายจากรองนายกฯ ผู้กำกับดูแลกระทรวงยุติธรรม ไปดูแลกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นคนละเรื่อง หลังจากให้สัมภาษณ์ตำหนิกรมราชทัณฑ์ ไม่ชี้แจงให้กระจ่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ที่ถูกนักข่าวตั้งฉายาเป็น “ทวีสอดไส้” ชี้แจงในสภาว่าการแก้ระเบียบราชทัณฑ์ใหม่เกิดขึ้นก่อนรัฐบาลปัจจุบันรัฐมนตรียุติธรรมชี้แจงว่ารัฐบาลและนายกรัฐมนตรีไม่เกี่ยว เพราะเป็นอำนาจของคณะกรรมการราชทัณฑ์ ๑๗ คน มีคนของรัฐบาลเพียง ๓ คน คือ รัฐมนตรีว่าการยุติธรรม ปลัดกระทรวงยุติธรรม และอธิบดีกรมราชทัณฑ์ กฎหมายใหม่ยึดหลัก “ราชทัณฑ์ไม่ใช่สถานที่ฆ่าหรือทรมานคน” ใครเจ็บป่วยต้องดูแลรักษาแต่มีคำถามว่าเป็นไปตามคำอภิปรายของนายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกลหรือไม่ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาถามว่านโยบายเร่งด่วนที่รัฐบาลแถลงต่อสภา จะสร้างความชอบธรรม ด้วยการฟื้นฟูหลักนิติธรรม วันนี้แน่ใจแล้วหรือว่ารัฐบาลจะทำจริง หรือกำลังจะทำให้ระบบนิติธรรมย่ำแย่ลงไปผู้นำฝ่ายค้านกล่าวว่าสังคมถูก ตอกย้ำให้อยู่กับระบบยุติธรรมสองมาตรฐาน เรือนจำมีไว้สำหรับประชาชนสามัญ ที่ไม่มีอำนาจบารมี หรือฐานะเงินทอง พูดแบบชาวบ้านก็คือ “คุกมีไว้ขังคนจน” ขณะเดียวกันหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์รายงานข่าวว่า มีกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาและประชาชน เตรียมชุมนุมที่หน้าทำเนียบรัฐบาลในวันศุกร์นี้หวังว่ารัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ เป็นพรรคที่อ้างมาโดยตลอดว่าเป็นผู้นำฝ่ายประชาธิปไตย จะปกครองประเทศโดยยึดมั่นในหลักนิติธรรม ทุกคนต้องเสมอหน้ากันในกฎหมาย ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายโดยเสมอหน้า ไม่มีใครมีอำนาจอยู่เหนือกฎหมาย นิติธรรมคือเสาหลักประชาธิปไตย.คลิกอ่านคอลัมน์ “บทบรรณาธิการ” เพิ่มเติม