Thursday, 19 December 2024

“วันเด็ก” แห่งชาติ วันที่ชาติต้องการ

13 Jan 2024
123

ทุกวันเสาร์ที่  ๒ ของเดือนมกราคม ทุกปีถูกกำหนดให้เป็น “วันเด็กแห่งชาติ”…เป็นวันที่ผู้ใหญ่ในสังคมได้มองเห็นคุณค่าและความสำคัญของเด็กว่าพวกเขามีความจำเป็นที่จะต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่จากผู้ใหญ่ตลอดไป“เด็กถือว่าเป็นทรัพยากรอันมีค่าของสังคมและประเทศชาติ ถ้าสังคมเราได้เด็กดีก็หวังได้เลยว่าวันข้างหน้าย่อมจะดี แต่ถ้าสังคมเราได้เด็กที่ไม่ดี…ไม่มีคุณภาพแล้วก็อย่าหวังเลยว่าอนาคตของสังคมและชาติบ้านเมืองเราจะเดินไปได้ด้วยดี”พระครูจินดาสุตานุวัตร (พระมหาสมัย จินฺตโฆสโก) ประธานมูลนิธิกลุ่มแสงเทียน เจ้าอาวาสวัดบางไส้ไก่ กทม. บอกว่า จำเป็นอย่างยิ่งที่เราเป็นผู้ใหญ่ในสังคมจะต้องหันมาให้ความสำคัญ และดูแลเอาใจใส่เด็กกันให้มากกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ โดยขอมุ่งเน้นไปด้านต่างๆ…tt ttพระมหาสมัย จินฺตโฆสโกประการที่หนึ่ง เด็กทุกชีวิตที่เกิดมาล้วนต้องการความจำเป็นพื้นฐานคือปัจจัยสี่อันประกอบด้วย อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค นี่คือความจำเป็นเบื้องต้นที่เด็กทุกคนควรจะได้รับเพราะชีวิตของมนุษย์เราล้วนอาศัยปัจจัยสี่เพื่อการดำรงชีพ “เด็ก”…ก็เช่นเดียวกันประการที่สอง เด็กทุกคนจะต้องได้รับการศึกษาตามความจำเป็นขั้นพื้นฐานของชีวิตและของวัยนั้นๆ การศึกษาของเด็กมีอยู่ ๒ ประเภทคือการศึกษาทางกายกับการศึกษาทางใจการศึกษาทางกายคือเด็กควรได้รับการเรียนรู้พัฒนาการให้เหมาะสมกับวัยtt tt“ไม่ว่าจะเป็นเด็กนักเรียนระดับก่อนวัยเรียนระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษา จนไปถึงกลายเป็นเยาวชนคือระดับอุดมศึกษา ไม่ว่าเด็กจะอยู่ในที่แห่งหนตำบลใด จะเป็นเด็กในสังคมเมือง ในชุมชนแออัด จะเป็นเด็กในชนบท เด็กในถิ่นทุรกันดาร จะเป็นเด็กด้อยโอกาสในรูปแบบต่างๆล้วนควรจะได้รับทุกคน”การศึกษาทางกายคือ เด็กมีสติและปัญญาเรียนรู้ได้อย่างเต็มที่ตามระดับของสมองที่เด็กจะรับได้ ไม่ว่าจะเป็นวิชาการโดยตรงหรือการประพฤติปฏิบัติตามหลักวิชาการที่ได้เรียนมาส่วนการศึกษาทางใจ เด็กควรจะได้รับการฝึกอบรมบ่มนิสัยพัฒนาจิตใจ อารมณ์ จิตสำนึกอย่างเต็มที่และเพียงพอ เด็กที่มีจิตใจดีงามก็จะได้แสดงออกทางกายหรือทางกิริยามารยาทที่สวยงาม มีจิตเมตตาอารีรู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่คนอื่น รู้จักช่วยเหลือคนอื่นที่ตกทุกข์ได้ยากหรือได้รับความลำบากเดือดร้อนtt ttพระครูจินดาสุตานุวัตร ย้ำว่า เด็กที่มีอารมณ์มั่นคง มีจิตใจที่สงบ ย่อมจะพบแต่ความสำเร็จในการศึกษาเล่าเรียน…ในการดำรงชีวิตประจำวันเป็นผลดีต่อครอบครัว สถานศึกษา และสังคมที่เด็กคนนั้นๆเกี่ยวข้อง ดังนั้นการศึกษาจึงถือว่าเป็น “หัวใจอันสำคัญ” ที่จะบ่งบอกว่า “อนาคตเด็ก” จะเป็นไปในทิศทางใด?นับรวมไปถึงบ่งบอกด้วยว่า…อนาคตของชาติบ้านเมืองจะเป็นไปในทิศทางใดเช่นกัน?ประการที่สาม เด็กทุกคนจะต้องอยู่ในสิ่งแวดล้อมของชีวิตสิ่งแวดล้อมจึงมีความจำเป็นมากอีกประการหนึ่ง เพราะจะสามารถโน้มน้าวให้เด็กมีทัศนคติเป็นไปในทิศทางใด รักและชอบชีวิตรวมถึงหน้าที่การงานเพื่อการดำรงชีพด้านใด…สิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบกายเด็กดีก็ย่อมมีโอกาสที่จะผลักดันให้เด็กเป็นคนดีtt ttตรงกันข้าม…ถ้าสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดีมีแต่มลพิษภาวะก็ย่อมจะสามารถโน้มน้าวให้เด็กเจริญเติบโตขึ้นมาได้ไม่ดีเท่าที่ควรจะมีหรือควรจะเป็น“ผู้ใหญ่ในสังคมทุกระดับชั้นจึงควรสร้างให้สังคมเราเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ความผูกพัน ความหวังดี การเกื้อกูลกัน ช่วยขจัดความขัดแย้งที่จะนำไปสู่ความรุนแรง ความเสียหาย ความย่อยยับของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง รู้จักอนุโลม ผ่อนปรน…เพื่อให้พบกันครึ่งทางให้อยู่ได้และอยู่รอดอย่างมีความสุขไปด้วยกัน”คนเราต้องเข้าใจว่า…“ทุกสิ่งทุกอย่างจะให้เป็นไปดังความหวังหรือความต้องการของตนเองเพียงคนเดียวอย่างเดียวคงเป็นไปไม่ได้ จะต้องรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา รู้จักยืดหยุ่นโดยเดินทางสายกลาง ไม่เคร่งครัดมากนัก ไม่หย่อนยานมากนัก เสียสละให้มาก มุ่งหวังนำเอาทุกอย่างไปสู่ความสุขความสงบtt tt…และการระงับเหตุภัยทั้งปวง สุดท้ายก็จะเกิดการร่วมใจกันจัดสิ่งแวดล้อมให้กับเด็กซึ่งเป็นบุตรหลานของเราและสังคมของเรา ผลดีก็จะเกิดขึ้นกับทุกชีวิตที่อยู่ในสังคมของเรา”นี่คือของขวัญอีกประการหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามประการที่สี่ เด็กทุกคนควรจะอยู่ในสังคมที่มีศีลธรรมอันดี มีศาสนาที่ตนเองเคารพและนับถือเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ หลักธรรมคำสอนของแต่ละศาสนาก็มีอยู่แล้ว และคำสอนของทุกศาสนา “ล้วนสอนให้มนุษย์เราเป็นคนดี” ผ่านรูปแบบวิธีการปฏิบัติเพื่อให้เข้าสู่ศาสนาหรือเพื่อให้ประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้องเด็กทุกชีวิตจึงควรได้รับการปลูกฝังความเชื่อ…ความศรัทธาให้ถูกต้อง ให้เด็กได้สัมผัสอยู่ตลอดเวลาและทุกวัน โอกาสที่เด็กจะเจริญเติบโตขึ้นมาบนพื้นฐาน “แห่งความดี” ก็จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติประการที่ห้า “วันเด็ก”…ถือว่าเป็นวันที่สำคัญของชาติอีกวันหนึ่ง ถ้าเราต้องการให้เด็กเจริญเติบโตขึ้นมาเป็นคนดีและมีคุณภาพแล้วพวกเราจะต้องช่วยกัน “ขจัดอบายมุขคือสิ่งมอมเมาบุตรหลานของเรา” ให้มีลดน้อยถอยลงไปtt tt“ทุกวันนี้เรามาช่วยกันสนับสนุนและส่งเสริมการดื่มน้ำเมา ของมึนเมาทุกชนิด กระท่อมก็ให้เสพที่ถูกกฎหมายกันแล้ว กัญชาก็เริ่มให้มีเสพเสรีกันแล้ว ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีบทสรุปหรือข้อยุติที่ชัดเจนก็ตาม ทั้งยังจัดนโยบายขยายให้เปิดสถานบริการกลางคืนด้วยความหวังจะฟื้นเศรษฐกิจจนถึงตีสี่ของวันใหม่…”ล้วนส่งเสริมให้ผู้คนในสังคมเที่ยวกลางคืนสนองกาม กิเลสราคะ ตัณหามนุษย์มากขึ้นจนเกินไป ส่งเสริมให้มีนักดื่มหน้าใหม่ ส่งเสริมให้เด็ก เยาวชนไปเกี่ยวข้องกับสิ่งตกต่ำทางศีลธรรมมากขึ้นก่อให้เกิดการละเมิดทางเพศ เยาวชนก่ออาชญากรรมหนักมากขึ้น ก่อให้พวกเขาสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้คนในสังคมมากขึ้น สนับสนุนให้ผู้คนประพฤติผิดศีลธรรมและกฎหมายความสงบสุขในสังคมมากขึ้น สรุปแล้ว…มีนโยบายที่ส่งเสริมกิเลสตัณหาของมนุษย์นั่นเองสุดท้าย…“ศีลธรรม” คำสอนของศาสนาก็จะตกต่ำลงไปอย่างที่ไม่ต้องสงสัยกันเลยถ้าเราจะให้ความสำคัญแก่วันเด็กแห่งชาติและทุกวันที่มีต่อเด็กก็ไม่ควรส่งเสริมหรือสนับสนุนให้ผู้คนเกี่ยวข้องกับ “อบายมุขคือทางแห่งความเสื่อม” ไปมากกว่านี้ ทางที่ดีควรจะตระหนักในเรื่องนี้แล้วใช้อำนาจและโอกาสที่มีนี้ มิให้อบายมุขมาครอบงำผู้คนในสังคม บุตรหลานของสังคมของเราtt ttเสียดายที่ผ่านมามีนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับการ “ลดอบายมุข” อย่างได้ผลและเป็นผลดีต่อส่วนรวม รวมถึงประเทศชาติ แต่มาวันนี้ไม่เป็นเช่นนั้น คงต้องทำใจว่าอนาคตของบุตรหลานในสังคมเราก็น่าจะ “มืดมน” ไปในที่สุด…คำขวัญวันเด็กหรือวลีต่างๆที่ผู้ใหญ่ให้กับเด็กแต่ละปีคงจะเป็นคำหวานลมๆแล้งๆ?อาตมาขอฝากอนาคต “เด็กไทย” ไว้กับทุกๆคน ทุกๆส่วน และทุกๆฝ่าย…บุตรหลานเราจะดีต้องมี “ผู้ใหญ่” ที่ดีเป็นคนนำทางแก่พวกเขา วันเด็กแห่งชาติหรือทุกวันที่เด็กมีชีวิตอยู่ในสังคมของเรา ผู้ใหญ่ควรประพฤติปฏิบัติตัวแต่ในทางที่ดีให้เด็กเห็นและสัมผัสตลอดเวลา ผู้ใหญ่ดี…เด็กจะต้องดีอย่างแน่นอน“อนาคตของเด็กจะดี”…ผู้ใหญ่ก็ต้องดีเสมอต้นเสมอปลายให้เขาเห็น.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า ๑” เพิ่มเติม