Thursday, 19 December 2024

ไทยทำได้…หนึ่งเดียวในโลก

จระเข้น้ำจืด จระเข้น้ำเค็ม ปลาตะพัด ปลายี่สกไทย และปลาบึก จัดเป็นหนึ่งในสัตว์น้ำที่อยู่ท้ายอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ หรือ CITES ในบัญชีที่ ๑ ที่ถือว่าเป็นสัตว์น้ำที่ใกล้สูญพันธุ์ ห้ามทำการค้าในเชิงพาณิชย์แต่อนุสัญญามีข้อกำหนดว่า หากสัตว์น้ำนั้นสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้ในที่เลี้ยง และได้ขึ้นทะเบียนกับสำนักเลขาธิการ CITES จะสามารถทำการค้าระหว่างประเทศได้และถือเป็นอีกเรื่องที่น่าภาคภูมิใจของประเทศ ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีพิธีมอบหนังสือแสดงการขึ้นทะเบียนสถานที่สามารถเพาะพันธุ์สัตว์น้ำเพื่อการค้าระหว่างประเทศ กับสำนักเลขาธิการ CITES ให้กับฟาร์มและหน่วยงานที่ดำเนินการเพาะพันธุ์เพื่อส่งออกให้แก่หน่วยงานของกรมประมงได้แก่ ฟาร์มจระเข้น้ำจืด ๑ ฟาร์ม ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด และศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด (เพาะพันธุ์ปลาบึกและปลายี่สกไทย) หน่วยงานของกรมประมง ๖ แห่งสำหรับจระเข้น้ำจืด (Crocodylus siamensis) กรมประมงได้พยายามผลักดันและพัฒนาศักยภาพเกษตรกรไทยในการเพาะเลี้ยง เนื่องจากธุรกิจการค้าในต่างประเทศมีความเติบโต และเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคจัดเป็นสัตว์น้ำที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจในทุกส่วนของอวัยวะ ไม่ว่าจะเป็นเลือด เนื้อ หนัง กระดูก ไขมัน ฯลฯ โดยตั้งแต่ปี ๒๕๓๖ ไทยได้เริ่มขึ้นทะเบียนกับสำนักเลขาธิการ CITES จนปัจจุบันมีผู้เพาะพันธุ์จระเข้ไทยได้ขึ้นทะเบียนกับสำนักเลขาธิการ CITES ๒๙ แห่ง สร้างรายได้จากการส่งออกกว่า ๗,๐๐๐ ล้านบาทส่วนปลาบึก และปลายี่สกไทย นับเป็นครั้งแรกที่บ้านเราได้รับการขึ้นทะเบียนสถานที่เพาะพันธุ์เพื่อการค้าระหว่างประเทศจากสำนักเลขาธิการ CITES และถือเป็นประเทศแรกของโลก เนื่องจากได้รับการพิจารณาว่าเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการเพาะเลี้ยงหรือเพาะพันธุ์อย่างมาก และเป็นที่ต้องการของตลาดระหว่างประเทศสำหรับศูนย์ที่ได้รับการขึ้นทะเบียน ๖ แห่ง ได้แก่ ๑.ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดเลย ๒.ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดกาญจนบุรี๓.ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดอุดรธานี ๔.ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดหนองคาย ๕.ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดพระนครศรีอยุธยา และ ๖.ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดราชบุรี.สะ-เล-เตคลิกอ่านคอลัมน์ “หน้ามองฟ้า เท้าหยั่งดิน” เพิ่มเติม