ผมเขียนเล่าไว้บ้างแล้วว่า เมื่อวันขึ้นปีใหม่ ๑ มกราคมที่ผ่านมา ว่า ผมนั่งรถกับลูกๆหลานๆตระเวนไหว้พระ ๑๐ วัด ไปรอบๆ กรุงเทพฯ บังเกิดความประทับใจหลายๆอย่างอย่างหนึ่งคือที่วัด พระแก้ว หรือ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งผู้คนแน่นมาก ใกล้ๆเที่ยงนั้นปรากฏว่านอกจากจะเป็นนักท่องเที่ยวทั้งจากจีนและยุโรป รวมทั้งพี่น้องชาวไทยโดยทั่วไปแล้วก็จะมีพี่น้องชาวเมียนมามาร่วมด้วยจำนวนมากที่เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นชาวเมียนมาก็เพราะเขาแต่งกายด้วยชุดประจำชาติอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยมากทั้งหญิงและชายผมจำได้ว่าหนังสือพิมพ์และสื่อสังคมออนไลน์ที่นำภาพมาลงได้โพสต์แสดงความชื่นชมในความเป็นระเบียบเรียบร้อย สงบเยือกเย็นสมกับเป็นพุทธมามกะที่เคร่งครัดมากของพี่น้องชาวเมียนมาทำให้ผมต้องกลับมาค้นหาสถิติแรงงานต่างด้าวในบ้านเราเป็นการใหญ่ ด้วยความอยากรู้ว่าจะมีมากน้อยเพียงใด เพื่อที่จะฝากข้อสังเกตต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคตเช่นเดียวกับประเทศเจริญแล้วส่วนมากของโลกข้อมูลที่อยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ ๑๓ (พ.ศ.๒๕๖๖-๒๕๗๐) ระบุไว้ดังนี้ในปี ๒๕๖๓ มีคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานทั่วราชอาณาจักรจำนวนทั้งสิ้น ๒,๕๑๒,๓๒๘ คน ส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างด้าว ๔ สัญชาติ ได้แก่ เมียนมา ลาว กัมพูชา และเวียดนาม จำนวน ๒,๐๖๓,๕๖๑ คน หรือร้อยละ ๘๒.๑๔ ของแรงงานต่างด้าวทั้งหมดหากพิจารณาไปถึงกลุ่มที่มิได้รับอนุญาตให้ทำงานหรือลักลอบเข้าเมืองด้วยแล้วอาจจะมีจำนวนสูงถึง ๔ ล้านคน มากกว่าร้อยละ ๑๐ ของกำลังแรงงานทั้งหมดของประเทศไทยด้วยเหตุนี้แรงงานต่างด้าวจึงเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยคาดว่ามีส่วนช่วยในการสร้างผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ถึงร้อยละ ๖.๖โดยเฉพาะในภาคการผลิต อาทิ อุตสาหกรรมก่อสร้าง ภาคเกษตร และประมง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาชีพที่ใช้ทักษะฝีมือต่ำ จะเป็นการทำงานโดยแรงงานต่างด้าวดังกล่าวเกือบทั้งหมดเห็นภาพรวมๆเกี่ยวกับแรงงานต่างด้าวที่แผน ๑๓ บรรยายไว้เช่นนี้แล้ว ผมก็นึกไปถึงรูปแบบการพัฒนาของมนุษย์ทุกๆชาติในโลกนี้ว่า จะยอมลำบากและทำงานหนักในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น แต่เมื่อรายได้ดีขึ้น ความเป็นอยู่ดีขึ้นก็จะพยายามหาคนอื่นๆมาทำงานหนักๆแทนเป็นมาตั้งแต่สมัยสหรัฐอเมริกายังมีการค้าทาส รวมทั้งในยุโรปด้วย ซึ่งในตอนแรกคนอเมริกัน คนยุโรป ก็พร้อมจะทำงานหนัก แต่พอรวยแล้ว พอกินแล้ว จะไปหาคนมาทำงานหนักๆแทน จึงไปซื้อทาสหรือจับผู้คนมาเป็นทาสทำงานหนักดังที่เราอ่านกันในประวัติศาสตร์ยุคนี้ไม่สามารถค้าทาสได้หลายประเทศโดยเฉพาะในยุโรปก็ใช้วิธีไปดึงแรงงานในประเทศที่เคยเป็นเมืองขึ้นของตน หรืออาณานิคมของตนเข้ามาทำแทน เป็นหมื่นเป็นแสนและในที่สุดก็เป็นล้านเต็มยุโรปไปหมดการอพยพมามากๆก็มีทั้งผลดีและผลเสียเกิดขึ้นควบคู่กันไป…ในทางเศรษฐกิจถือว่าเป็นผลดีแน่ เพราะมาช่วยทำงานหนักต่างๆจนสามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้แต่ในทางสังคมกลับกลายเป็นเกิดผลด้านลบขึ้น เพราะไม่ได้มีการดูแลจัดการให้เป็นระบบเสียแต่แรก ทำให้แรงงานอพยพในยุโรปขาดการศึกษาเล่าเรียน ขาดการอบรมดูแล ถูกทอดทิ้งจากสังคมหลักของประเทศทำให้หลายๆประเทศในยุโรปปัจจุบันนี้เป็นประเทศที่น่ากลัวและอยู่ไม่เย็นไม่เป็นสุขเหมือนยุคก่อนๆของเราเมื่อมีการพัฒนาดีขึ้นเจริญเติบโตพอสมควรขึ้น จึงตกอยู่ในสภาพเดียวกันคือมักทำงานหนักไม่ได้เสียแล้ว นี่ขนาดยังเป็นแค่ประเทศรายได้ปานกลางขั้นสูงนะครับ…เข้าสู่ขั้น “รายได้สูง” จริงๆเมื่อไรคงจะไม่ทำงานหนักกันทั้งประเทศแน่นอนทำให้เราต้องพึ่งพาแรงงานต่างด้าวดังที่ปรากฏอยู่ขณะนี้ แต่ก็โชคดีที่ปัญหาสังคมต่างๆยังไม่เกิดเหมือนยุโรปอาจเป็นเพราะของเราผิวพรรณไม่ต่างกันมากอยู่ไปๆก็เข้ากันได้ และหลายๆประเทศถือศาสนาพุทธเหมือนกันจึงเข้ากันได้ดีแม้จะมีปัญหาจุกๆจิกๆอยู่บ้างแต่ยังไม่น่ากลัวเหมือนต่างประเทศขอบคุณเพื่อนๆแรงงานต่างด้าวที่มาช่วยขับเคลื่อนประเทศและไม่สร้างปัญหาให้แก่ประเทศไทยนะครับ ขอบคุณจริงๆขอให้รักษาความงดงามเมื่อวันปีใหม่เอาไว้ตลอดไปนะครับ.“ซูม”คลิกอ่านคอลัมน์ “เหะหะพาที” เพิ่มเติม
Related posts