ศาล นัดฟังคำพิพากษาครั้งที่ ๒ ในคดีกลุ่มพันธมิตรฯ บุกสนามบินฯ ข้อหาเป็นกบฏ ก่อการร้าย ขณะเหล่าแกนนำยังคาดหวังสิ่งที่ต่อสู้มา ๑๖ ปี จะได้รับการพิสูจน์ น้อมรับในกระบวนการยุติธรรมtt ttวันที่ ๑๗ ม.ค. เมื่อเวลา ๐๙.๐๐ น. ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาครั้งที่ ๒ ในคดีกลุ่มพันธมิตรฯ บุกสนามบินฯ หมายเลขดำ อ.๙๗๓/๒๕๕๖ ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา ๙ เป็นโจทก์ฟ้องพล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ และแนวร่วม รวม ๓๒ คน เป็นจำเลยในความผิดฐาน “ร่วมกันเป็นกบฏก่อการร้ายฯ” ที่ห้องพิจารณาคดี ๗๐๔tt ttจากกรณีเมื่อระหว่างวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน-๓ ธันวาคม ๒๕๕๑ จำเลยได้ร่วมกันโฆษณาชักชวนให้ประชาชนมาร่วมกันชุมนุมใหญ่ กระจายไปตามพื้นที่ต่างๆ และปิดล้อมอาคารวีไอพี ท่าอากาศยานดอนเมือง ซึ่งอยู่ในความครอบครองของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ผู้เสียหายที่ ๑ ซึ่งเป็นของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ผู้เสียหายที่ ๒ และทำลายทรัพย์สินเสียหายเป็นเงิน ๖๒๗,๐๘๐ บาท แล้วนำจานรับสัญญาณของพวกจำเลยไปติดตั้งใกล้เครื่องรับสัญญาณเรดาร์ของบริษัทวิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด ผู้เสียหายที่ ๓ และปิดกั้นสะพานกลับรถของกรมทางหลวง ผู้เสียหายที่ ๔ ตรวจค้นตัวเจ้าหน้าที่ของบริษัท การบินไทย ผู้เสียหายที่ ๕ ปิดกั้นการบริการสื่อสารบริษัท ไปรษณีย์ไทย ผู้เสียหายที่ ๖ และร่วมกันขู่เข็ญใช้กำลังประทุษร้ายบุคคลและทรัพย์สิน รวมทั้งจำเลยกับพวก ได้ชุมนุมปิดล้อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จ.สมุทรปราการ ด้วย เพื่อกดดันให้ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ขณะนั้นลาออก โจทก์จึงขอให้ศาลพิพากษาลงโทษพวกจำเลยตามความผิดด้วยtt ttคดีนี้พวกจำเลยให้การปฏิเสธ โดยศาลอาญาได้นัดฟังคำพิพากษาครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๘ ธ.ค. ๖๖ แต่จำเลย ๔ คน มีอาการป่วย และนายประพันธ์ คูณมี ติดภารกิจ เข้ารับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ศาลจึงเลื่อนนัดฟังคำพิพากษาโดยจำเลยทั้ง ๓๒ คน ได้ร่วมกันโฆษณาชักชวนให้ประชาชนมาร่วมกันชุมนุมใหญ่โดยกระจายไปตามพื้นที่ต่างๆ และปิดล้อมอาคารวีไอพีท่าอากาศยานดอนเมือง ซึ่งอยู่ในความครอบครองของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ผู้เสียหายที่ ๑ ซึ่งเป็นของบริษัทท่าอากาศยานไทยจำกัด (มหาชน) ผู้เสียหายที่ ๒ และทำลายทรัพย์สินเสียหายเป็นเงิน ๖๒๗,๐๘๐ บาท แล้วนำจานรับสัญญาณของพวกจำเลยไปติดตั้งใกล้เครื่องรับสัญญาณเรดาร์ ของ บริษัท วิทยุการบินฯ ผู้เสียหายที่ ๓ ทำการปิดกั้นสะพานกลับรถของกรมทางหลวง ผู้เสียหายที่ ๔ ตรวจค้นตัวเจ้าหน้าที่ของบริษัทการบินไทยฯ ผู้เสียหายที่ ๕ ปิดกั้นการบริการสื่อสารบริษัท ไปรษณีย์ไทยฯ ผู้เสียหายที่ ๖ และร่วมกันขู่เข็ญใช้กำลังประทุษร้ายบุคคลและทรัพย์สิน เพื่อกดดันให้ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ขณะนั้นลาออกจากตําแหน่งtt ttนายสมศักดิ์ โกศัยสุข จำเลยที่ ๔ กล่าวว่า ที่ได้กระทำมาทั้งหมดถือว่าเป็นการต่อสู้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชนต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน และเป็นที่ปรากฏชัดว่ารัฐบาลที่เราต่อต้านศาลได้พิพากษาแล้วว่าเขามีความผิดจริง“แม้แต่นักโทษชั้น ๑๔ ก็สารภาพแล้วว่าผิดจริง แล้วจึงได้รับพระราชทานอภัยโทษ ฉะนั้น ในส่วนที่เราถูกดำเนินคดี เรายินดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมด้วยความเต็มใจ และการที่ศาลจะพิจารณาอย่างไร ก็เคารพอำนาจของศาล ทุกคนพร้อมปฏิบัติโดยไม่มีเงื่อนไข” นายสมศักดิ์ กล่าวนายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า ปกติศาลก็รับฟังอยู่แล้ว ผลข้อกฎหมายออกมาอย่างไรเราก็รับได้ทั้งหมด แต่ที่เราร่วมกันต่อสู้ เนื่องจากรัฐธรรมนูญตอนนั้นให้อำนาจประชาชนในการต่อต้านโดยสันติวิธี เพื่อต่อต้านรัฐบาลที่มาโดยมิชอบ ใช้อำนาจโดยมิชอบ รัฐธรรมนูญปี ๕๐ มาตรา ๖๘ และมาตรา ๖๙ ซึ่งในรัฐธรรมนูญปี ๖๐ มีการแก้ไขมาตราดังกล่าวไปแล้ว แสดงว่าสิ่งที่เราทำนั้นถูกต้อง จึงมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และเราเชื่อโดยสุจริตว่าประชาชนมีสิทธิทำได้ และศาลก็พิจารณาแล้วว่าการชุมนุมของเราสันติ ปราศจากอาวุธtt ttด้านนายปานเทพ ระบุว่า คดีนี้มีจำเลยเยอะ ทำให้ศาลต้องแบ่งออกเป็น ๒ ชุด ตนเองเป็นชุดที่ ๒ ซึ่งจะพิพากษาในช่วงเดือนมีนาคม ๖๗ เป็นการต่อสู้ที่ยาวนานกว่า ๑๖ ปี กว่าจะมีการพิสูจน์ ตนเองเชื่อว่าเรื่องข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ทนายความ จำเลย และโจทก์ ได้ดำเนินการอย่างเต็มที่แล้ว ที่เหลือก็แล้วแต่ศาลจะพิจารณา ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ก็เชื่อว่าไม่น่าจะจบที่ศาลชั้นต้น น่าจะจบที่ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา แต่เราใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ เหตุแห่งการชุมนุมทั้งการทุจริตคอร์รัปชัน การโกงการเลือกตั้ง มีขึ้นจริงๆ จากคำพิพากษาศาลฎีกาในเวลาต่อมา ดังนั้นสิ่งที่เราต่อสู้เป็นไปตามเงื่อนไขในรัฐธรรมนูญ“เราคาดหวังว่าสิ่งที่เราสู้ในขณะนี้จะได้รับการพิสูจน์ เพราะตลอดระยะเวลา ๑๖ ปีที่ผ่านมาจำเลยทั้งหมดมีพันธนาการ ไปต่างประเทศก็มีประกัน เงื่อนไข ต้องนำเงินประกันมาวาง จากอิสรภาพ และถูกสังคมเข้าใจผิดว่าเป็นผู้ก่อการร้าย หรือเป็นผู้ที่กระทำความผิดแล้ว อย่างน้อยกระบวนการยุติธรรมที่ดำเนินมาจนถึงตอนนี้ก็แสดงให้เห็นว่าพันธมิตรเป็นฝ่ายเคารพในกระบวนการยุติธรรม น้อมรับในกระบวนการยุติธรรม และพร้อมรับบทลงโทษทุกกรณี ก่อนหน้านี้ก็จำคุกจริง ไม่เคยขออภิสิทธิ์จนถึงขั้นไม่ติดคุก และหวังว่าจะเป็นบรรทัดฐานว่าสังคมควรเดินหน้าในกระบวนการยุติธรรมที่เท่ากัน ได้รับบทลงโทษที่เสมอกันจึงจะสร้างความเป็นธรรมให้กับสังคมได้” นายปานเทพ กล่าวtt ttโดยบรรยากาศก่อนการเข้าฟังคำพิพากษา ได้มีกลุ่มสหภาพแรงงานและวิสาหกิจ เดินทางมาให้กำลังใจ พร้อมต่อแถวและมอบดอกไม้ให้กับแกนนำ และเมื่อเวลา ๐๙.๑๕ น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล หนึ่งในแกนนำพันธมิตรได้เดินทางมาฟังคำพิพากษา ส่วน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรมีอาการป่วย ทำให้ไม่สามารถมาฟังคำพิพากษาได้ ศาลจึงอ่านคำพิพากษาลับหลังเฉพาะของพล.ต.จำลอง
แกนนำพันธมิตรฯ มาตามนัด ฟังคำพิพากษาครั้งที่ ๒ คดีบุกสนามบินฯ ปี ๕๑
Related posts