พระราชบัญญัติอากาศสะอาดในประเทศพัฒนา เขาทำอย่างไร จึงแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศและฝุ่นละออง PM๒.๕ ได้เบ็ดเสร็จ… อาจารย์สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อม เปิดมุมมองผ่านประสบการณ์ส่วนตัวเอาไว้น่าสนใจประเด็นแรก… “ประเทศไทย” กำลังประสบวิกฤติคุณภาพอากาศโดยเฉพาะฝุ่น PM๒.๕ ทั้งในเขตเมืองและในภาคเกษตรกรรม รวมทั้งในเขตป่าไม้สาเหตุเกิดจากไอเสียรถยนต์ การปล่อยมลพิษทางปล่องของโรงงาน การเผาในที่โล่ง ฝุ่นข้ามแดน การเผาซากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เผาป่า เผาหญ้าเศษวัชพืชtt ttสนธิ คชวัฒน์“ปัจจัยปัญหาข้างต้นนี้สั่งสมเรื้อรังมานาน…นับเป็นเวลามากกว่า ๑๐ ปีแล้วที่รัฐบาลเองก็ยังแก้ไขปัญหาฝุ่น PM๒.๕ ไม่ได้ต้องรอฟ้าฝนและโชคชะตาอย่างเดียว”ประเด็นที่สอง…ในประเทศสหรัฐอเมริกาไม่มี พระราชบัญญัติสิ่งแวดล้อมแห่งชาติที่ดูเรื่องมลพิษทั้งหมดเหมือนประเทศไทย แต่แยกเป็นกฎหมายแต่ละเรื่อง เช่น Clean Air Acts, Clean water Acts, chemecal and Toxic waste Acts, PRTR Acts โดยที่รัฐแคลิฟอร์เนียประเทศสหรัฐอเมริกา ก็มีปัญหาคล้ายกับประเทศไทยแต่…เขาแก้ปัญหาได้เบ็ดเสร็จตั้งแต่ ค.ศ.๒๐๑๖ หรือ พ.ศ.๒๕๕๙ โดยได้ใช้กฎหมายอากาศสะอาดและมีการจัดการอย่างจริงจังของภาครัฐ ซึ่งกฎหมายอากาศสะอาดในสหรัฐอเมริกาหรือ The Clean Air Acts (CAA) ถูกกำหนดขึ้นมาตั้งแต่ปี ๑๙๗๐ โดยมี องค์การพิทักษ์สิ่งแวดล้อมแห่งอเมริกา หรือ US.EPA เป็นผู้ดูแลคำถามสำคัญมีว่า…กฎหมายฉบับนี้มีหลักการอย่างไร?คำตอบก็คือ หนึ่ง…มีการตั้งคณะกรรมการน้อยมากโดยมีเพียงแค่คณะกรรมการบริหารอากาศสะอาดโดย US.EPA ขึ้นตรงกับประธานาธิบดีโดยตรง ทำหน้าที่กำหนดนโยบายในภาพรวม และตั้งคณะกรรมการจัดการอากาศในแต่ละรัฐขึ้นกับผู้ว่าการรัฐ ทำหน้าที่บริหารจัดการในพื้นที่ตนเองtt ttถัดมา…มีการกำหนดประเภทและขนาดแหล่งกำเนิดมลพิษหลักที่ต้องควบคุม โดยเฉพาะแหล่งกำเนิดที่มีโอกาสปล่อยมลพิษออกมาทั้งฝุ่นละออง ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ และไฮโดรคาร์บอนด์ ตั้งแต่ ๑๐ ตันต่อปีขึ้นไปและ…กำหนดให้แต่ละแหล่งกำเนิดมลพิษดังกล่าว ต้องได้รับใบอนุญาตการปลดปล่อยมลพิษทางอากาศด้วย โดยกำหนดค่าการปล่อยมลพิษทางอากาศเป็นค่า Loading หรือความเข้มข้น x อัตราการปล่อยในแต่ละปีด้วย…รวมทั้งยังกำหนดให้แหล่งกำเนิดมลพิษดังกล่าวจะต้องใช้เทคโนโลยีที่ดีที่สุดในการควบคุมการปล่อยมลพิษทางอากาศหรือ Best Available control Technologies หรือ BACT เท่านั้นสาม…กำหนดให้แหล่งกำเนิดมลพิษทุกแหล่งต้องจัดทำบัญชีการปลดปล่อยมลพิษทางอากาศรายงานให้ผู้ว่าการรัฐและ US.EPA พิจารณารวมทั้งต้องเปิดเผยให้สาธารณชนทราบด้วยสี่…ให้อำนาจ US.EPA และแต่ละรัฐออกกฎเกณฑ์จำกัดการปล่อยมลพิษทางอากาศจากโรงงานอุตสาหกรรม ยานยนต์ และแหล่งกำเนิดต่างๆจากมนุษย์ เช่น การเผาในที่โล่ง เตาเผาขยะ โดยมีข้อกำหนดเป็นกฎหมายในการควบคุมอย่างชัดเจน เช่น ห้ามเผาในที่โล่ง ห้ามเผาตอซังฟางข้าวหากมีความจำเป็นต้องเผาจะต้องขออนุญาตทุกครั้ง ซึ่งต้องจำเป็นจริงๆจึงจะอนุญาตและ US.EPA จะเข้าไปสนับสนุนแต่ละรัฐในการควบคุมมลพิษจากแต่ละแหล่งกำเนิดอย่างเข้มงวด และ US.EPA มีอำนาจในการเข้าไปจัดการแทน หากแต่ละรัฐไม่ดำเนินการหรือดำเนินการแล้วไม่ได้ผลtt ttห้า…รัฐจะสร้างเครือข่ายการติดตามตรวจสอบมลพิษทางอากาศที่อาจจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างเป็นระบบ โดยประชาชนเข้าถึงได้ง่าย รวมทั้งตั้งอาสาสมัครเฝ้าระวังทำงานร่วมกับ US.EPAหก…กำหนดแผนปฏิบัติการระดับรัฐในการจัดการมลพิษอากาศในพื้นที่ของตนเองได้หรือเรียกว่า SIP (State Implement Plans) เป็นการกระจายอำนาจลงไปในระดับเมืองและท้องถิ่นเจ็ด…องค์การพิทักษ์สิ่งแวดล้อมแห่งอเมริกาหรือ US.EPA ขึ้นกับประธานาธิบดีโดยตรง ทำหน้าที่ออกกฎระเบียบและให้ความช่วยเหลือรัฐต่างๆในการวางแผน ทบทวนแผนและตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎหมายของแหล่งกำเนิดต่างๆ โดยสามารถลงโทษและฟ้องศาลได้รวมทั้งใช้อำนาจประธานาธิบดีประกาศภาวะฉุกเฉินทางสิ่งแวดล้อมเพื่อเข้าไปแก้ไขปัญหาได้แบบเบ็ดเสร็จแทนหน่วยราชการต่างๆ เมื่อพบว่ามลพิษอากาศในบรรยากาศกำลังจะมีผลต่อสุขภาพมนุษย์แปด…The Clean Air Acts ให้อำนาจประชาชนในการฟ้องร้องรัฐบาลหากล้มเหลวในการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศจากทุกแหล่งกำเนิดtt ttประเด็นที่สาม…การยกร่าง พระราชบัญญัติการจัดการอากาศสะอาดในประเทศไทยของรัฐบาล จะต้องมองภาพรวมให้กว้างมากกว่าแค่การจัดการฝุ่นละออง PM๒.๕ อย่างเดียว…จะต้องมีเจ้าภาพในการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศทุกแหล่งกำเนิดได้อย่างเบ็ดเสร็จรวมทั้งเมื่อมีการประกาศแผนปฏิบัติการแล้วจะต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด ในการควบคุมมลพิษทางอากาศทุกแหล่งกำเนิดด้วย“…เราควรจัดให้กรมควบคุมมลพิษเป็น Thai EPA อยู่ภายใต้สำนักนายกรัฐมนตรีขึ้นตรงกับท่านนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่ตรวจสอบและปรับสมดุลกับหน่วยงานพัฒนาเช่นเดียวกับ US.EPA หรือไม่…โดยมีอำนาจเข้าไปกำกับควบคุม ดูแลให้ปฏิบัติตามกฎหมายสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด….ขณะที่หน่วยงานอนุญาตทำหน้าที่ส่งเสริมให้โครงการต่างๆเกิดการพัฒนาอย่างเต็มที่และอย่างยั่งยืน ไม่ใช่อนุญาตเองแล้วไปตามจับเองแบบทุกวันนี้…ซึ่งอยากที่จะทำได้เหมือนปัจจุบัน”พุ่งเป้าไปที่ “พระราชบัญญัติอากาศสะอาด” ฉบับของรัฐ (ไทย) จะมีการแก้ไขปัญหาฝุ่น…ได้จริงหรือไม่?อาจารย์สนธิ บอกว่า คำตอบคือไม่แน่ใจเพราะร่าง พระราชบัญญัติอากาศสะอาดของรัฐมีหลายเรื่องที่ซ้ำซ้อนกับ พระราชบัญญัติสิ่งแวดล้อมปี ๒๕๓๕ ได้แก่ การบริหารจัดการโดยแต่งตั้งกรรมการหลายชุดtt ttอาทิ คกก.นโยบายอากาศสะอาดซ้ำกับ คกก.สิ่งแวดล้อมแห่งชาติมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเหมือนกัน, คกก.บริหารจัดการอากาศสะอาด (วิชาการ) ซ้ำกับ คกก.ควบคุมมลพิษ, คกก.อากาศสะอาดพื้นที่เฉพาะซ้ำกับ คกก.เขตควบคุมมลพิษ, พนักงานอากาศสะอาดซ้ำกับพนักงานควบคุมมลพิษ“อากาศสะอาด” ไม่ใช่แค่ “ฝุ่น PM๒.๕” อย่างเดียว แต่ยังรวมถึง TSP (ฝุ่นใหญ่), PM๑๐, SO๒, NO๒, CO, HC และ VOCs (สารอินทรีย์ระเหยง่ายซึ่งหลายตัวเป็นสารก่อมะเร็ง) ทั้งหมดต้องถูกควบคุมทั้งจากแหล่งกำเนิดอยู่กับที่และแหล่งกำเนิดเคลื่อนที่ ซึ่งถูกกำหนดใน พระราชบัญญัติสิ่งแวดล้อม ๒๕๓๕ แล้วในแง่หลักการขับเคลื่อน ถ้าสามารถใช้ “เงินกองทุนสิ่งแวดล้อม” ใน พระราชบัญญัติสิ่งแวดล้อมนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางด้านเศรษฐศาสตร์ก็จะได้ผลดีมากขึ้น…แต่ยังไม่มีการปรับปรุงแต่อย่างใดถ้าหาก พระราชบัญญัตินี้จะควบคุมเฉพาะฝุ่น PM ๒.๕ ก็ต้องประกาศให้ชัดว่าเป็น พระราชบัญญัติควบคุมฝุ่น PM ๒.๕ และฝุ่นข้ามแดน…การออกกฎหมายก็จะต้องมีนโยบายที่ชัดเจน อีกทั้ง “จุดอ่อน” ที่ยังแก้ไขปัญหา “ฝุ่น PM๒.๕” ไม่ได้ผลทั้งที่มีแผนปฏิบัติการวาระแห่งชาติ จริงๆแล้ว…เกิดจากอะไรกันแน่?คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า ๑” เพิ่มเติม
Related posts