Sunday, 22 September 2024

เหตุอัศจรรย์ลาน "จะคึ" ดอยมูเซอ หลังเซ่น "หมอผีอือซา" คืนแรม

21 Jan 2024
81

สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรฯ ได้บันทึกเรื่องความเชื่อ “ชาวเขา” ในประเทศไทยว่า ปัจจุบันมีราว ๕ แสนคน อาศัยตามรอยตะเข็บชายแดนไทย-พม่า ทางภาคเหนือลงไปถึงกาญจนบุรี เพชรบุรี…กับส่วนหนึ่งติดชายแดน สปป.ลาว กระจายยังจังหวัดเพชรบูรณ์ อุทัยธานี กำแพงเพชร หากย้อนเวลาไปในอดีต…บรรพบุรุษเดิมทีอาศัยอยู่บนภูเขาสูงมณฑลยูนนานจีนตอนใต้ติดพม่า แต่อดีตที่นั่นสู้รบกันมาตลอด เช่น การปฏิวัติซินไฮ่ โค่นล้มราชวงศ์ชิงราชวงศ์สุดท้ายเมื่อ ค.ศ.๑๙๑๑ ก่อนสถาปนาเป็นสาธารณรัฐtt ttกับอีกครั้งในปี ค.ศ.๑๙๔๖ หรือ พ.ศ.๒๔๘๙ เหมา เจ๋อตง ประธานกลางพรรคคอมมิวนิสต์ เพื่อนเลิฟ เจียง ไคเชก ขุนพลคู่ใจ ด็อกเตอร์ซุน ยัดเซ็น ผู้นิยมปกครองระบอบประชาธิปไตย เกิดขัดแย้งอุดมการณ์การเมืองเจียง ไคเชก จำต้องลี้ภัยไปตั้งประเทศใหม่ได้แก่ “ไต้หวัน” ทำให้โลกมี ๒ จีนกลับมาที่กลุ่มชาติพันธุ์ชาวเขา…เริ่มแรกคนกลุ่มนี้ทำไร่ทำนาอยู่แถบภูเขาสูงยูนนาน โดยแยกเป็นชนเผ่ามากมายมีวัฒนธรรมที่คล้ายกันต่างกันตามวิถีตนเองและ…ด้วยเหตุที่จีนเกิดสงครามบ่อยครั้ง จึงผลักดันให้ชนเผ่ากะเหรี่ยงหรือปกาเกอะญอ ลาฮู หรือลาหู่มูเซอ อีก้อ อาข่า แม้วหรือม้ง เย้า ลีซอหรือลีซู…จำต้องทิ้งที่นาพลัดที่ไร่ไปตายดาบหน้าเมื่อ ๑๐๐-๒๐๐ ปีก่อนtt ttแผ่นดินแรกที่เลือกทำกินบนเขาสูงคือ “พม่า” ต่อมาถูกขับไสเพราะลำพังเจ้าของแผ่นดินก็มีปัญหาชนกลุ่มน้อยที่รบกันไม่รู้จบจนเดี๋ยวนี้ ถึงต้องเลือกแผ่นดินผืนใหม่ภาคเหนือของไทยเป็นหลักอีกกลุ่มเข้ามาทางแขวงไชยะบุรี สปป.ลาว สู่น่าน เพชรบูรณ์ พิษณุโลก กำแพงเพชร โค่นป่าทำกินจนดินเสื่อมสภาพจึงย้ายถิ่นฐานไม่รู้จบ ซ้ำร้าย…ปลูกพืชที่ถนัดคือ “ฝิ่น” สกัดเป็น “เฮโรอีน” สารเสพติดต้องห้ามที่คนทั้งโลกรังเกียจ…จนในหลวง ร.๙ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับเป็นธุระเปลี่ยน แปลงพฤติกรรมให้โดยหยุดการทำลายป่าหันมาปลูกพืชผักเมืองหนาว พร้อมทรงหาตลาดเพื่อระบายผลผลิต และเลิกเบียดเบียนธรรมชาติเสียทีtt tt“ชาวเขา” จึงเป็นเช่น “ชาวเรา” อยู่กลางสังคมคุณภาพลูกหลานได้ศึกษากลับมาพัฒนาท้องถิ่นตนเอง…แต่น่าเสียใจตรงที่มีชาวเขานอกกรอบหันไปค้ายาเสพติดทรยศต่อแผ่นดินอาศัย@@@@@@จากวันเวลาที่ผ่าน…สังคมชนเผ่าแม้จะมีวิวัฒนาการตามสมัย แต่ต่างยังยึดมั่นรากเหง้าวัฒนธรรมตนเอง โดยบูชา “ผี” ทั้งผีป่า ผีเขา ผีเรือน ผีบรรพบุรุษเหนืออื่นใดในภพนี้ จึงไม่แปลก…ที่ทุกหมู่บ้านบนเขาสูงเสียดฟ้าปานใด จะต้องมีผู้อาวุโสสืบทอดฐานะ “หมอผี” ประจำเผ่าพันธุ์ ซึ่งได้จากผู้มากมีประสบการณ์วิชาอาคม…สามารถปัดเป่าสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับชุมชนได้ที่น่าเชิดชูคือการตกผลึกรักษาวัฒนธรรมประเพณี แม้สังคมยุคนี้จะถูกแทรกแซงมากแล้วก็ตาม อย่างหนุ่มสาวม้งจะนิยมโยนม้วนผ้าเกี้ยวกันวันขึ้นปีใหม่ อันจะนำไปสู่การครองคู่ประเพณีนิยม “แย้ ขู่ อ่า เผ่ว”…โล้ชิงช้าอาข่าช่วงปลายสิงหาคมถึงต้นกันยายน เพื่อขอผีป่าผีเรือนให้พืชไร่อุดมสมบูรณ์tt ttอีกทั้งประเพณี “คะ ท๊อง อ่าเผ่ว” หมายถึง “ปีใหม่ลูกข่าง” ของอาข่าที่จะเปลี่ยนวิถีทำกินช่วงปลายปี ขณะมูเซอจะฉลองปีใหม่ด้วยเทศกาล “กินวอ” รวมญาติกินหมูดำประจำปีลาหู่หรือมูเซอรวมถึงลีซอหรือลีซูบางกลุ่ม มีความเชื่อเรื่องพิธีกรรมเซ่นบวงสรวงผีผู้คุ้มครองหมู่บ้าน แล้วรื่นเริงตามประสาโดยการเต้น “จะคึ” ตรงลานกลางหมู่บ้าน จะกระทำเมื่อเทศกาลกินวอ วันปีใหม่ พิธีกินข้าวใหม่ และรับผู้มาเยือน หรือขอบคุณต่อผลผลิตที่ได้ตามฤดูกาลรวมถึง “พิธีเรียกขวัญ” ในยามที่มีผู้เจ็บไข้ได้ป่วยเหล่านี้ เป็นต้นtt tt@@@@@@ครั้งหนึ่ง…เมื่อเดือนสิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๒๐ ที่ดอยมูเซอ ตรงศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ ชาวเขา จ.ตาก กิโลเมตรที่ ๒๗ บนเทือกเขาถนนธงชัยห่างตัวเมือง ๓๓ กิโลเมตร ที่นั่นเป็นแหล่งเกษตรกรรมทำกินของเหล่ามูเซอกับค้าขาย คนเดินทางผ่านบ้างเล็กๆน้อยๆครั้งนั้น…มีทีมนักเขียนสารคดีท่องเที่ยวไปบันทึกเรื่องราวเพื่อจะนำมาเผยแพร่ โดยได้รับการต้อนรับจากเจ้าหน้าที่และลูกจ้างมูเซอชื่อ “จะมู” บริการในช่วงตกเย็นเป็นการจัดเลี้ยงอาหารมื้อพิเศษให้มีต้มจืดหน่อไม้สด ลาบเนื้อกวางสดๆที่จะมูบอกว่าเพิ่งล่ามา…ได้กินกับข้าวเหนียวนึ่งปั้นจิ้มร้อนๆtt ttเสร็จแล้วเป็นธรรมเนียมมูเซอรับคนต่างถิ่น เชิญชวนทุกคนไปชมการเต้นจะคึกลางลานบ้านส้มป่อย ซึ่งมีผู้เฒ่ากับหนุ่มสาวรออยู่ในคืนเดือนแรมที่มีเพียงดาวกับแสงสลัวจากกองไฟจะมูเล่า “การเต้นจะเริ่มจากบวงสรวงผีก่อนพิธีรื่นเริงสนุกสนาน โดยตรงกลางถูกสมมติเป็นฐานประทับหมอผีอือซา ที่มูเซอส้มป่อยอัญเชิญมารับเครื่องเซ่นไหว้และชมการแสดง”เสียงดนตรีซือปือหรือ “หน่อเนาะ” จากลมปากผู้เฒ่าดังขึ้นโหยหวน ขณะมูเซอสาวที่ล้อมวงเริ่มขยับกระทืบเท้าเป็นจังหวะพร้อมกัน โดยมีมูเซอหนุ่มล้อมรอบอีกทีหนึ่งที่ขยับตามลีลาซือปือในความมืดคืนแรมนั้น มันช่างเหมือนมนต์สะกดร่างกายจิตใจให้สงบนิ่งอยู่กับที่พักใหญ่จนเมื่อสิ้นเสียงดนตรีสลับเสียงฝีเท้าบดขยี้ธุลีดิน นักเขียนสาวรายหนึ่งกลับแหงนหน้ามองท้องฟ้าอย่างนิ่งเฉยไม่ยอมไหวติง คงมีประกายตาเบิกโพลงค้างอยู่นานครันtt tt…ทำเอาทุกคนสับสนว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น?นางถูกนำส่งโรงพยาบาลในตัวจังหวัดให้หมอวินิจฉัยอาการทันที…สุดท้ายหมอถึงฉีดกลูโคสให้หลับถึงเช้า แล้วนางถึงตื่นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นในคืนเดือนแรมที่ผ่านมา นอกจากข้อสันนิษฐาน… ที่อาจเกิดจากลาบเนื้อกวางจานนั้นมีส่วนผสมใบกัญชาปนอยู่ด้วยเท่านั้นเองนี่จึงเป็นเหตุอัศจรรย์ที่เคยเกิดคล้ายมนต์ปาฏิหาริย์ในความเชื่อของมนุษย์ ไม่ว่ายุคนี้หรือยุคไหนๆ…ดังนั้นจึงไม่ควรลบหลู่หรือดูแคลนด้วยสำนึกมิจฉาทิฐิใดๆในโลกอนิจจัง“ศรัทธา”…นำมาซึ่งปาฏิหาริย์? เชื่อไม่เชื่อโปรดอย่าได้…“ลบหลู่”.รัก-ยมคลิกอ่านคอลัมน์ “เหนือฟ้าใต้บาดาล” เพิมเติม