Friday, 15 November 2024

แคนาดาเปิดให้บริการลานสเกตน้ำแข็งธรรมชาติใหญ่ที่สุดในโลก

แคนาดากลับมาเปิดให้บริการลานสเกตน้ำแข็งธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกครั้งในรอบเกือบ ๒ ปี หลังจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้ไม่มีน้ำแข็งมากพอคณะกรรมการจัดการทรัพย์สินแห่งชาติแคนาดา (เอ็นซีซี) กล่าวว่า ลานสเกตน้ำแข็ง “ริโด คาแนล สเกตเวย์” (Rideau Canal Skateway) ซึ่งเป็นลานสเกตน้ำแข็งธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่มีชื่อเสียงของแคนาดา จะเปิดให้เล่นสเกตในเช้าวันอาทิตย์ (๒๑ ม.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น เป็นครั้งแรกในรอบ ๒ ปี “ริโด คาแนล สเกตเวย์” ระยะทาง ๗.๘ กม. ในกรุงออตตาวา ซึ่งเปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อกว่า ๕๐ ปีที่แล้ว ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโก และยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมสำหรับผู้ชื่นชอบการเล่นสเกตน้ำแข็งกลางแจ้ง ในช่วงฤดูหนาวของแคนาดาคลองดังกล่าวไม่เปิดให้เล่นสเกตเป็นครั้งแรกเมื่อต้นปี ๒๕๖๖ โดยเอ็นซีซี ซึ่งเป็นผู้ดูแลและดำเนินการลานสเกตน้ำแข็ง “ริโด คาแนล สเกตเวย์” กล่าวว่าฤดูหนาวที่ไม่รุนแรงซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้ไม่มีน้ำแข็งเพียงพอก่อนหน้านี้ เอ็นซีซีเคยกล่าวว่าจะเปิดลานสเกตดังกล่าวได้เฉพาะเมื่อน้ำแข็งมีความหนาอย่างน้อย ๓๐ ซม. ซึ่งจะต้องมีอุณหภูมิระหว่างลบ ๒๐ องศาเซลเซียส ถึงลบ ๑๐ องศาเซลเซียส เป็นเวลา ๑๐ ถึง ๑๔ วันติดต่อกันอย่างไรก็ตาม ฤดูหนาวที่อบอุ่นของปีที่แล้ว ส่งผลให้ทางสเกตยาว ๗.๘ กม. ไม่ได้เปิดให้บริการเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์กว่า ๕๐ ปี และการที่กรุงออตตาวาไม่มีพื้นที่จัดกิจกรรมการเล่นสเกตน้ำแข็งอันเป็นเอกลักษณ์ ได้สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมให้กับพื้นที่ดังกล่าวในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ได้มีคำเตือนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทำให้ฤดูกาลการเล่นสเกตสั้นลง รวมถึงความพยายามของเอ็นซีซีที่จะดำเนินมาตรการบางอย่างเกี่ยวกับปัญหานี้ นอกจากนั้น มาตรการเกี่ยวกับโควิด-๑๙ ยังส่งผลกระทบต่อการเล่นสเกตน้ำแข็งในสองฤดูกาลล่าสุดเอ็นซีซี และคณะกรรมการมาตรฐานของแคนาดา ได้มอบหมายให้มีการประเมินความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อทำความเข้าใจผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีต่อลานสเกตน้ำแข็ง ริโด คาแนล สเกตเวย์โดยระบุว่า ภายใต้สถานการณ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับปานกลาง เอ็นซีซีควรเตรียมพร้อมสำหรับฤดูกาลสำหรับการเล่นสเกตน้อยกว่า ๔๐ วัน หรือราวครึ่งหนึ่ง.ติดตามข่าวต่างประเทศเพิ่มเติมที่ https://www.thairath.co.th/news/foreign