ก็มาถึง Ep. สุดท้ายของมินิซีรีส์ชุด “เยือนอินโดนีเซีย ๒๐๒๔” ของผมที่ลงติดต่อกันในคอลัมน์นี้มาตั้งแต่กลางสัปดาห์ที่แล้ว (เว้นวันเสาร์วันเดียว) ว่าด้วยเรื่องเศรษฐกิจบ้าง เรื่องเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่บ้าง ฯลฯมาหยุดอยู่ที่เรื่องของ Permata Bank ธนาคารอินโดนีเซียที่แบงก์บัวหลวงหรือ ธนาคารกรุงเทพ ของเราไปซื้อหุ้นเอาไว้กว่า ๘๐ เปอร์เซ็นต์ และปัจจุบันเมื่อยุบธนาคารสาขาอีก ๔ แห่งของบัวหลวงในอินโดฯไปรวมด้วยผมก็เห็นตัวเลข ล่าสุดระบุว่าบัวหลวงถือหุ้นธนาคารนี้ ณ ปัจจุบันนี้ ๙๘.๗ เปอร์เซ็นต์ผมเล่าไว้แล้วถึงสาเหตุของการไปซื้อหุ้น Permata ซึ่งธนาคารกรุงเทพเห็นว่าคุ้มค่าในการลงทุนแน่นอนด้วยเหตุผลต่างๆ และเมื่อซื้อได้โดยสมบูรณ์เมื่อปี ๒๐๒๐ หรือ ๒๕๖๓ และดำเนินกิจการมาจนถึงบัดนี้ ๒๕๖๗ ก็ปรากฏว่าธนาคาร Permata มีกำไรมาโดยตลอดอย่างที่คาดไว้ผมขออนุญาตไม่ลงลึกในรายละเอียดของผลประกอบการของ ธนาคารนี้ในปัจจุบัน เป็นตัวเลขของผลกำไรสุทธิหรือของรายได้รายจ่ายตลอดจนมูลค่าทรัพย์สินนะครับ เพราะตัวเลขของอินโดนีเซียจะออกมาสูงมากจนปวดหัว เพราะค่ารูเปียของเขาเทียบกับเงินบาทหรือดอลลาร์แล้วตัวเลขเยอะมากๆ (๑ บาทเท่ากับ ๔๔๐ รูเปีย ๑ ดอลลาร์เท่ากับ ๑๕,๖๕๐ รูเปีย)พอรายงานเป็นรูเปียจะออกมาเป็นหลายๆล้านลายตาไปหมดขอใช้เป็นเปอร์เซ็นต์ดีกว่าพอให้เห็นภาพกว้างๆ…ท่านที่สนใจรายละเอียดโปรดเข้ากูเกิลพิมพ์คำว่า Permata Bank Performance ก็จะมีข้อมูลแบบตัวเลขสูงลิบๆออกมาให้อ่านพอสมควรทีเดียวจึงขอสรุปสั้นๆว่าไม่นับช่วงโควิด-๑๙ ระบาด ซึ่งเป็นช่วงแรกๆของการเข้าควบรวมของธนาคารกรุงเทพแล้วไซร้ ปรากฏว่าปี ๒๕๖๕ ซึ่งฟื้นตัวแล้วแบงก์นี้มีกำไรถึง ๖๔ เปอร์เซ็นต์ตัวเลขปี ๒๕๖๖ หรือปีที่แล้วกำไรยังไม่ออกมา แต่เพียงแค่ ๙ เดือนแรกเขาก็บอกว่ามีผลกำไรสุทธิอย่างต่อเนื่อง แม้เปอร์เซ็นต์จะลดลงบ้าง แต่ก็กำไรโดยรวมสูงอยู่นั่นเอง และที่แข็งแกร่งมากก็คือมูลค่าสินทรัพย์ที่โตขึ้นถึง ๑๔ เปอร์เซ็นต์ปัจจุบันเพอร์มาตา แบงก์ มีลูกค้าเกือบ ๔ ล้านคน ใน ๖๒ เมืองของอินโดนีเซีย มีสาขาทั้งหมด ๓๐๔ สาขา และธนาคารสาขาเคลื่อนที่อีก ๒ สาขา อยู่ในฐานะธนาคารใหญ่อันดับ ๘ แล้ว หลังจากที่เคยอยู่อันดับ ๑๐ ตอนบัวหลวงเข้าไปควบกิจการแรกๆทุกสาขาของเพอร์มาตาเข้าสู่ระบบดิจิทัลทั้งหมด แต่ก็ยังมีเจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่งไว้คอยให้คำแนะนำลูกค้ารุ่นเก่าที่ไม่ชอบเทคโนโลยี ซึ่งก็ปรากฏว่ากลายเป็นส่วนน้อยเสียด้วยซ้ำบรรยากาศของธนาคารสาขาออกแบบได้ดีมาก และสอดคล้องกับชุมชนโดยจะมีภาพวาดสวยงาม แสดงถึงวัฒนธรรมประเพณีของย่านนั้นๆ ดังเช่นสาขาที่อยู่ในชุมชนเชื้อสายจีนจะตกแต่งลวดลายจีน หรืออย่างในบาหลีก็จะเป็นภาพของประเพณีฮินดู ฯลฯเท่าที่มีโอกาสพูดคุยกับผู้บริหารระดับสูงโดยเฉพาะซีอีโอคุณ เมลิซา มูซา รุสลี ซึ่งเป็นหญิงแกร่งวัย ๕๐ ปี จบวิศวกรรมไฟฟ้า แล้วไปจบโทบริหารธุรกิจที่เมลเบิร์น มีประสบการณ์ในการทำงานกับธนาคารระดับอินเตอร์หลายแห่ง…ผมว่าเป็นคนเก่งมากคนหนึ่งจากผลงานที่ผ่านมาแสดงว่าธนาคารกรุงเทพเลือกคนไม่ผิดฝาผิดตัวอย่างแน่นอนที่ผมเห็นว่าสำคัญก็คือผู้บริหารระดับสูงของเขาล้วนมีทัศนคติที่ดีต่อธนาคารกรุงเทพ และประเทศไทย มีความนิยมหรือชื่นชอบประเทศไทยอยู่ในตัว สังเกตได้ขณะพูดคุยกันนอกรอบเจ้าหน้าที่ธนาคาร Permata ระดับต่างๆที่คุยด้วยผมมีความรู้สึกพอใจที่ทำงานร่วมกับธนาคารกรุงเทพโดยไม่รู้สึกเป็นปมด้อยที่เจ้าของธนาคารของเขาเป็นชาติอาเซียนด้วยกัน เมื่อเทียบกับธนาคารอื่นๆที่ไปลงทุนในอินโดนีเซีย ซึ่งมีทั้งสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่นการที่เขามองประเทศไทยในแง่ดี ยอมรับธนาคารกรุงเทพซึ่งเป็นธนาคารจากประเทศไทย ผมว่าจะเป็นบวกแก่นักลงทุนไทยที่จะไปลงทุนที่อินโดนีเซียในอนาคตณ นาทีนี้คำตอบของผมก็คือ ธนาคารกรุงเทพตัดสินใจไม่ผิดที่เข้าควบกิจการกับ Permata และหวังว่า Permata Bank จะเป็นตัวอย่างที่ดีของการลงทุนร่วมกันระหว่างไทยกับอินโดนีเซียที่จะมีมากขึ้นและมากขึ้นในอนาคต.“ซูม”คลิกอ่านคอลัมน์ “เหะหะพาที” เพิ่มเติม