Sunday, 17 November 2024

จตุพร ทำนายแรง หลัง ๑๘ ก.พ. คนชั้น ๑๔ กลับบ้าน “เศรษฐา” อาจอยู่ไม่เกินสงกรานต์

“จตุพร” วิเคราะห์อนาคตอันใกล้ อำมหิตการเมืองจะเกิดขึ้นช่วงหลัง ๑๘ กุมภาพันธ์นี้ หลังคนชั้น ๑๔ กลับบ้าน ตามระเบียบคุมขังนอกคุก พร้อมทำนาย “เศรษฐา” อาจอยู่ไม่เกินสงกรานต์เมษาฯ นี้นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน กล่าวผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์เมื่อ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๗ โดยประเมินการเมืองหลัง ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ ซึ่งนักโทษชั้น ๑๔ โรงพยาบาลตำรวจ กลับบ้าน ว่า จะส่งผลการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ช่วงกุมภาพันธ์-มีนาคมนี้ และก่อนสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ครบวาระ ๑๑ พฤษภาคม สถานการณ์อำมหิตการเมืองจะไหลหลากพัดถล่ม นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จนต้องหอบสัมภาระออกจากทำเนียบรัฐบาลกลับบ้านไม่เกินสงกรานต์เมษายนนี้“เราต้องการให้รัฐบาลรอด แต่ภายใต้รัฐบาลที่มาไม่ถูกต้อง จึงเป็นรัฐบาลแบบลูกผีลูกคน ดูเสมือนจริงแต่ไม่จริง บริหารบ้านเมืองแบบประหลาด ไร้งบประมาณ จนทำให้ปัญหาของประเทศไปไกลมาก ยิ่งหลัง ๑๘ กุมภาพันธ์นี้ นักโทษชั้น ๑๔ ซึ่งไม่รู้อยู่จริงหรือไม่ แต่จะได้กลับบ้าน โดยได้รับการพักโทษ ไม่ได้อาศัยช่องทางระเบียบราชทัณฑ์ใช้บ้านเป็นคุก” ดังนั้น เกมการเมืองถัดจากนี้จะเห็นของจริงขยับเกิดขึ้นตามลำดับ และต้องติดตามว่าถ้าเบี้ยวดีลจะนำไปสู่หลากหลายเหตุการณ์ตามมาจริงหรือไม่ ยิ่งรัฐบาลนี้บริหารแบบไม่มีความสำเร็จออกมาสักเรื่อง ย่อมทำให้ต้นทุนความน่าเชื่อถือติดลบ ผู้คนทั่วสารทิศสะสมความผิดหวังเอาไว้มากมาย ทั้งการตระบัดสัตย์เรื่องเก่าแล้วที่ตามมาใหม่อีก ขณะที่ความสำเร็จของรัฐบาลมีสิ่งชี้วัดกับคำพูดที่พูดไว้ ถ้าทำตามสิ่งที่พูด ที่ประกาศไว้ จะเป็นปัจจัยความสำเร็จ แต่รัฐบาลนี้ยังไม่เคยทำในสิ่งที่พูดเอาไว้ จึงไม่มีความสำเร็จออกมาให้เห็นจากการบริหารประเทศ“ตั้งแต่กุมภาพันธ์-มีนาคมนี้ ผมเชื่อว่าการเมืองกระดานร้อน แม้หลายคนประเมินแค่จะมีการปรับ ครม. แต่ความจริงคือการปรับรัฐบาล และคนเพิ่งเป็นรัฐมนตรีรอบเดียวจะไม่ได้ไปต่อ ซึ่งน่าเห็นใจที่สุด ที่มีหน้าที่แค่ไปเปิดงาน”จากนั้น นายจตุพร กล่าวต่อไปว่า สถานการณ์ช่วงกุมภาพันธ์-มีนาคม รัฐบาลจะร้อนมากขึ้น แม้ไม่มีอะไรมาอธิบายอย่างสมเหตุผล แต่มันคือข้อตกลงที่แลกกับความสูญเสียมากมาย สิ่งสำคัญ กระบวนการยุติธรรมถูกทำลายย่อยยับ เราจึงมองเห็นว่า ถ้าไม่มีการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้สอดคล้องกับสถานการณ์โลกที่เกิดขึ้น จะมีปัญหาตามมามากที่สุด ประชาชนจะไปฟังรัฐบาลที่ต้องการอยู่ ๔ ปีได้อย่างไรกัน เราอยู่อย่างเชื่อโครงการดิจิทัลวอลเล็ตจะแจกเงินได้อย่างไร เมื่อรัฐบาลเอาแต่ประกาศเลื่อน ทั้งที่ยังไม่เริ่มแจกเงินสักเดือนทั้งนี้ หลังจาก ๑๘ กุมภาพันธ์ที่คนชั้น ๑๔ จะกลับบ้าน วันใดที่คิดเสนอ ครม. เพื่อตรา พ.ร.ก.เงินกู้ ๕๐๐,๐๐๐ ล้านบาท วันนั้นคือวันจบของนายกรัฐมนตรีคนนี้ เพราะนั่นเป็นทางลงที่เบาที่สุด แต่ถ้ามีนาคมยังไม่มีการเสนอเรื่องนี้ และยังไม่มีการปฏิบัติการสิ่งใด เราจะเห็นความอำมหิตจะเริ่มต้นขยับอย่างรุนแรง ซึ่งความอำมหิตรุนแรงจะถูกอธิบายด้วยเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดก็จะเกิดขึ้น แม้ช่วงนี้อยู่ในห้วงยุทธการฟ้าใส เพราะยังเป็นไปตามข้อตกลงที่ดีลกันไว้อยู่ แต่บางเรื่องเลยกว่าข้อตกลงต้องรับผิดชอบกันเอาเอง เช่น กลับบ้านไม่ติดคุกแม้แต่วันเดียวก็ต้องรับแรงเสียดทาน ถูกประณามเรื่องอภิสิทธิ์ชน สองมาตรฐาน และเรื่องขบวนการยุติธรรมถูกย่ำยีขณะเดียวกัน สิ่งที่น่าสนใจคือ เมื่อมีการเปลี่ยนรัฐบาลภายใต้พรรคโครงสร้างรัฐบาลเดิมจะอยู่ไม่ครบทั้งหมด ซึ่งจะเป็นการเมืองในลักษณะประหลาดอีกรอบหนึ่ง ดังนั้น จึงมี ๒ ทาง โดยทางหนึ่งเดินหน้ากับรัฐบาลใหม่ และอีกทางหนึ่งจะทำหน้าที่ฝ่ายค้านหรือฝ่ายอะไรก็ไม่รู้ โดยเราจะเจอการเมืองที่จะหนักกว่า ๒๒ สิงหาคม ๒๕๖๖ แม้ได้เป็นรัฐบาลจริง มีงบประมาณบริหารประเทศ แต่ประสิทธิภาพต่างๆ คนที่อยู่วงนอกหลายคนจะกลับเข้ามา คนที่อยู่วงในบางส่วนก็ต้องออกไป อีกทั้งคนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีต้องไม่มีบาดแผลในอดีตทั้งเรื่องซุกธุรกรรมการเงินที่ขัดกฎหมายไว้มากมาย“การเมืองรอบต่อไปนี้ ก่อน สว.จะพ้นวาระ จะมีทางเลือกอยู่ ๒ ทางคือ เลือกนายกฯ ใหม่ หรืออภิปรายทั่วไป ถ้าเลือกนายกฯ ใหม่ก็ไม่ได้อภิปรายทั่วไป สิ่งนี้เกิดจากการดีล จึงไม่มีเหตุผลมาอธิบาย เพราะดีลเป็นข้อตกลงปลงใจให้แก่กันว่าจะเอากันแบบนี้ คือ แบบกลับบ้านไม่ติดคุกสักวัน ไม่เช่นนั้น นายเศรษฐา จะได้เป็นนายกฯ ประหลาดๆ เหรอ”นายจตุพร ยังกล่าวด้วยว่า การดีลแบบนี้จะมีช่วงการสูญเสียมาก เพราะ สว. จะไม่ยอมให้รัฐบาลเดินไปด้วยสภาพแบบนี้ ซึ่งบ้านเมืองเกิดสูญเสียมากมาย ส่วนคนบางคนกว่าจะควบคุมได้ ก็ต้องดูกันเป็นระยะ สิ่งที่ต้องพิสูจน์แค่ระยะเวลา ๒ เดือน คือช่วงกุมภาพันธ์ขมีนาคมนี้ โดยบางเรื่องบางเหตุการณ์จะเกิดขึ้นแบบแปลกประหลาดไม่คาดคิด อีกทั้ง มีข่าวแว่วซึ่งไม่เกี่ยวกับศาล ว่า การชี้ชะตาพรรคก้าวไกลจะหลุดคดีล้มล้างการปกครองหรือไม่ โดยประเมินว่าอาจมีการเตือนว่าอาจสุ่มเสี่ยงเข้าข่ายล้มล้างการปกครอง แต่ยังไม่ได้ล้มล้างการปกครอง ซึ่งแต่ละฝ่ายเริ่มมองเห็นอาการนี้เช่นกัน ทั้งที่โดยข้อเท็จจริงแล้ว การแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ ไม่มีอะไรน่ากลัว เพราะอย่างไรก็ไม่ผ่านอยู่แล้ว เมื่อเข้าที่ประชุมสภาฯ ก็ประชุมลับ ไม่มีใครได้ยิน มีการเสนอปิดอภิปราย สุดท้ายมีมติไม่ผ่านสภาฯ ก็เท่านี้สำหรับประเด็นการเมืองต่อไป นายจตุพร วิเคราะห์ว่า พรรคก้าวไกลจะได้เปรียบอย่างมาก หาก สว. มีการเลือกตั้งจะถูกกวาดเรียบ ถ้าพรรคเพื่อไทยจะสู้ ต้นทุนที่มาจากการตระบัดสัตย์ย่อมสู้ไม่ได้ เพราะเป็นต้นทุนติดลบ และการรวมพลังเหลืองแดงแล้วจะสู้กันอย่างไร คนเราเมื่อเกิดผิดหวังมาก และมีคนมาจากทั่วสารทิศ เมื่อการเมืองเป็นความหวังเดียว และเป็นที่ที่มีความหวัง จึงไม่สนใจว่าความหวังข้างหน้าคืออะไร นี่คือสภาพที่เกิดขึ้นอยู่จริง อีกฝ่ายหนึ่งที่ถูกเรียกว่าเป็นตัวแทนอนุรักษ์ใหม่ แต่ทำตัวเหมือนบริษัทจะปิดกิจการจึงสู้ไม่ได้ ถ้าจะสู้ต้องแข็งแรงกว่า มีความน่าเชื่อถือกว่าเพราะฉะนั้น คนที่ผิดหวังกับสังคม จึงเทใจไปให้อีกพรรคหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ถ้าจัดความสัมพันธ์ไม่สมดุลกันแล้ว อาจจะเกิดเหตุการณ์แบบ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ อีกครั้งหนึ่งก็เป็นไปได้ ซึ่งนักประชาธิปไตยอาจไม่คิด แต่การเมืองไม่มีอะไรแน่นอน เพราะถ้าผิดดีลจะเกิดเหตุไม่คาดฝันได้ บทเรียนยุครัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ มีให้จดจำ จนต้องมีคนเข้ามาจัดการเพื่อรักษาหน้าไว้ แล้วจะกลายเป็นปัญหาใหม่ขึ้นมา และเมื่อสถานการณ์ภายนอกประเทศมีความรุนแรงมากขึ้น ถ้าปัจจัยภายในประเทศจัดการไม่ได้ แล้วจะเดินกันไปอย่างไร ซึ่งในอีก ๒ เดือนถัดจากนี้ ย่อมมีทั้งโอกาสจัดการได้และไม่ได้ แต่ถ้าดีลเกิดผิดเหลี่ยมแล้ว เราจะเจออะไรอย่างไม่คาดฝันอีก“สถานการณ์จากนี้น่าจับตาตั้งแต่หลัง ๑๘ กุมภาพันธ์ไป โดยชั้น ๑๔ กลับบ้าน เดือนมีนาฯ และไม่เกินสงกรานต์เดือนเมษาฯ นายเศรษฐา ก็จะกลับบ้าน ถ้าผิดไปจากนี้จะต้องดูปฏิบัติการจัดการอีกหลากหลายรูปแบบ (ก่อน สว. พ้นวาระ ๑๑ พฤษภาคม) เพราะทั้งหมดคือข้อตกลง เมื่อผิดข้อตกลงจึงต้องเจอเรื่องระดับทอร์นาโดการเมืองอย่างคาดไม่ถึง”