Thursday, 7 November 2024

เผยโฉมเรือสำราญใหญ่ที่สุดในโลก นักสิ่งแวดล้อมกังวลการปล่อยก๊าซมีเทน

เรือสำราญลำใหญ่ที่สุดในโลก ได้เริ่มออกเดินทางจากเมืองไมอามี รัฐฟลอริดา ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซมีเทนของเรือลำนี้เรือ “ไอคอน ออฟ เดอะ ซีส์” (Icon of the Seas) มีความยาว ๓๖๕ เมตร ความสูง ๒๐ ชั้น ระวางน้ำหนักรวม ๒๓๕,๖๐๐ ตัน และสามารถรองรับผู้โดยสารได้สูงสุด ๗,๖๐๐ คน และพนักงาน ๒,๓๕๐ คน ดำเนินการโดยบริษัท รอยัล แคริบเบียน กรุ๊ป เรือไอคอน ออฟ เดอะ ซีส์ ใช้ทุนสร้างถึง ๒,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว ๗๐,๐๐๐ ล้านบาท) ประกอบด้วยสวนน้ำ พื้นที่ ๑,๕๘๐ ตารางเมตร สระว่ายน้ำ ๗ สระ สไลเดอร์น้ำ ๖ ตัว ร้านอาหาร บาร์ และเลานจ์มากกว่า ๔๐ แห่ง รวมถึงลานสเกตน้ำแข็งกลางทะเลที่ใหญ่ที่สุดเรือลำนี้กำลังเดินทางไปยังหมู่เกาะทางตะวันออกของทะเลแคริบเบียนเป็นเวลา ๗ วัน โดยตั๋วทั้งหมดถูกจำหน่ายหมดแล้ว ขณะที่นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเตือนว่าเรือที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเหลวจะปล่อยก๊าซมีเทนที่เป็นอันตรายออกสู่สภาพแวดล้อมไบรอัน โคเมอร์ ผู้อำนวยการโครงการทางทะเลของสภาระหว่างประเทศว่าด้วยการขนส่งที่สะอาด (ICCT) กล่าวว่ามันอาจเป็นไปในทิศทางที่ไม่ถูกต้อง “เราประเมินว่าการใช้ก๊าซธรรมชาติเหลวเป็นเชื้อเพลิง จะปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดวงจรชีวิตมากกว่าน้ำมันดีเซลถึง ๑๒๐%” หลังจากเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ICCT เผยแพร่รายงาน โดยโต้แย้งว่าการปล่อยก๊าซมีเทนจากเรือที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเหลวนั้นสูงกว่ากฎระเบียบในปัจจุบันแม้ก๊าซธรรมชาติเหลวสามารถเผาไหม้ได้สะอาดกว่าน้ำมันที่ใช้ในเรือเดินสมุทรแบบดั้งเดิม เช่น น้ำมันดีเซล แต่มีความเสี่ยงที่จะเกิดการรั่วไหลโดยก๊าซเรือนกระจกอย่างก๊าซมีเทนในชั้นบรรยากาศ สามารถกักเก็บความร้อนได้มากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง ๘๐ เท่าในระยะเวลา ๒๐ ปี การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเหล่านี้ถือเป็นสิ่งสำคัญในการชะลอภาวะโลกร้อนโฆษกของรอยัล แคริบเบียน อ้างว่าเรือไอคอน ออฟ เดอะ ซีส์ สามารถประหยัดพลังงานมากกว่าที่องค์การทางทะเลระหว่างประเทศกำหนดไว้สำหรับเรือสมัยใหม่ถึง ๒๔% บริษัทวางแผนที่จะเปิดตัวเรือที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี ๒๕๗๘เมื่อวันพฤหัสบดี ลิโอเนล เมสซี นักฟุตบอลชื่อดังชาวอาร์เจนตินา ซึ่งปัจจุบันเล่นให้กับทีมอินเตอร์ ไมอามี ได้เข้าร่วมในพิธีตั้งชื่อเรือ โดยเขาได้วางลูกฟุตบอลบนอัฒจันทร์ที่สร้างขึ้นเป็นพิเศษเพื่อให้ขวดแชมเปญชนกับหัวเรือ.ติดตามข่าวต่างประเทศเพิ่มเติมที่ https://www.thairath.co.th/news/foreign