Saturday, 19 October 2024

แจ้งความ นายก อบจ.สกลนคร หลอกกินเงินค่ามัดจำโครงการกว่า ๕ ล้าน

30 Jan 2024
195

ผู้รับเหมาโร่แจ้งความ ถูกนายก อบจ.สกลนคร กับพวก หลอกลวงเรียกรับเงินมัดจำโครงการก่อสร้าง โครงการติดตั้งไฟฟ้าส่องสว่างโซลาร์เซลล์ และโครงการปล่อยปลาบึงหนองหาร สุดท้ายไม่ได้ทำโครงการ สูญเงินกว่า ๕ ล้านบาท ตำรวจสอบสวนพบมีมูล ส่งสำนวนให้ ป.ป.ช.ดำเนินการวันที่ ๓๐ ม.ค. ๖๗ พ.ต.อ.ชัชวาล ดวงแก้ว ผกก.สภ.เมืองสกลนคร เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๖๗ นายภพพล ประเสริฐสังข์ อายุ ๓๕ ปี และนางสาวณัชชา มารศรี อายุ ๓๔ ปี บ้านอยู่ ม.๙ ต.บ้านแก้ง อ.นาแก จ.นครพนม เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองสกลนคร กล่าวหาว่า ถูกนายชูพงศ์ คำจวง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสกลนคร พร้อมพวกรวม ๓ คน ร่วมกันฉ้อโกงหลอกลวงให้วางเงินมัดจำโครงการติดตั้งไฟฟ้าส่องสว่างโซลาร์เซลล์ และโครงการปล่อยพันธุ์ปลาลงบึงหนองหาร สูญเงินกว่า ๕ ล้านบาทจากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทราบพฤติการณ์ตามคำให้การของผู้เสียหายว่า เมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๖๔ นายภพพล ผู้เสียหายได้รับการติดต่อจาก นายบุญธรรม นามสมบูรณ์ และนายตันติกร คำมุงคุณ ว่า นายชูพงศ์ คำจวง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสกลนคร ให้มาพูดคุยเรื่องโครงการก่อสร้าง และติดตั้งไฟฟ้าส่องสว่างโซลาร์เซลล์ และโครงการปล่อยปลาลงบึงหนองหาร ต่อมานายบุญธรรม และนายตันติกรได้นำนายภพพลไปพบกับนายชูพงศ์ ที่ห้องทำงานชั้น ๒ อบจ.สกลนคร โดยนายชูพงศ์ยืนยันว่าทั้งสองโครงการนั้นมีอยู่จริง และจะเริ่มดำเนินการในเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๔ หากนายภพพลสนใจก็ต้องวางเงินมัดจำโครงการผ่านบัญชีของนายบุญธรรม ซึ่งนายบุญธรรมจะนำไปให้นายชูพงศ์เองนายภพพล ได้นำเรื่องดังกล่าวปรึกษากับ นางสาวณัชชา และตกลงใจโอนเงินมัดจำโครงการทั้ง ๒ โครงการไปยังบัญชีธนาคารของนายบุญธรรมผ่านทางแอปพลิเคชันของธนาคารหลายครั้ง ทั้งเช็ค และเงินสด รวมเป็นเงิน ๖,๕๐๐,๐๐๐ บาท แต่กลับปรากฏว่าล่วงเข้าสู่ปี พ.ศ.๒๕๖๕ ก็ยังไม่ได้งานโครงการตามที่ตกลงกันไว้ ได้มีการทวงถามหลายครั้ง แต่ก็ได้รับคำบ่ายเบี่ยงเรื่อยมา เมื่อทวงถามหนักเข้าก็ให้นายบุญธรรมโอนเงินกลับมาคืนครั้งละ ๑-๒ แสนบาท โดยนายชูพงศ์รับปากจะคืนเงินที่เหลืออีก ๕,๖๐๐,๐๐๐ บาท ให้ภายในสิ้นเดือนธันวาคม ๒๕๖๖ แต่เมื่อถึงเดือนธันวาคม ๒๕๖๖ ก็ยังไม่มีการคืนเงินให้ หนำซ้ำยังบอกว่าไม่มีโครงการใดๆ อีกแล้ว ทำให้มั่นใจว่าถูกนายชูพงศ์และพวกหลอกลวง จึงได้ตัดสินใจนำความเข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนดังกล่าวหลังจากพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเบื้องต้น ตามมาตรา ๖๑ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.๒๕๖๑ พบว่า คดีมีมูลข้อเท็จจริงจากหลักฐาน และเอกสารการโอนเงินทั้งหมด ซึ่งพฤติการณ์ของผู้ต้องหาเข้าข่ายมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๑ และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ และความผิดตามพระราชบัญญัติรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.๒๕๖๑ และได้ส่งมอบสำนวนการสอบสวน และเอกสารที่เกี่ยวข้องจำนวน ๙๖ แผ่น ให้กับ ป.ป.ช.สกลนครแล้ว เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป.