Thursday, 19 December 2024

หอการค้าไทย-จีน แต่งตั้ง ณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล นั่งแท่นประธาน อีกสมัย

หอการค้าไทย-จีน แต่งตั้ง ณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล นั่งแท่นประธาน อีกสมัย หวังขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนไทย-จีน ร่วมสรรค์สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับหอการค้าไทย-จีน บนเส้นทางสายมิตรภาพไทย-จีน สอดรับความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน ที่จะครบรอบ ๕๐ ปี ในปี ๒๕๖๘เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๖๗ นายณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล ได้รับการแต่งตั้งดำรงตำแหน่ง ประธานกรรมการหอการค้าไทย-จีน สมัยที่ ๒๙ เป็นการทำหน้าที่ประธานกรรมการหอการค้าไทย-จีน ตั้งแต่ปี ๒๕๖๓ ติดต่อกัน ๓ สมัย โดยมีผู้เข้าร่วมแสดงความยินดี ราวๆ ๕๐๐ คนtt ttนายณรงค์ศักดิ์ กล่าวขอบคุณและยินดีทุ่มเทความรับผิดชอบในภารกิจการสืบสานและต่อยอดพันธกิจหอการค้าไทย-จีน พร้อมกับคณะกรรมการและสมาชิกทุกท่าน เพื่อนำพาองค์กรก้าวไปข้างหน้า เผชิญกับความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ต่างๆ ด้วยความเข้าใจ ร่วมกันปฏิรูปและพัฒนาการดำเนินงานเพื่อให้บริการนักธุรกิจชาวจีนและชาวจีนโพ้นทะเลอย่างเต็มที่ พร้อมมุ่งปลูกฝังคนรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาสืบสานปณิธานและวัฒนธรรมของหอการค้าไทย-จีนtt ttในการนี้ นายยง สุขสุดประเสริฐ ประธานกิตติมศักดิ์ผู้ทรงเกียรติถาวร กล่าวแสดงความเชื่อมั่นใน “พิธีส่งมอบตราตั้ง” ครั้งนี้ว่า ภายใต้การบริหารงานของ ประธานณรงค์ศักดิ์ และคณะกรรมการหอการค้าไทย-จีน สมัยที่ ๒๙ จะสืบสานเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษ พร้อมสร้างอนาคตร่วมกันสร้างสรรค์ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับหอการค้าไทย-จีน สืบต่อไปtt ttพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี เป็นประธานในพิธีการรับมอบตำแหน่งคณะกรรมการหอการค้าไทย-จีน สมัยที่ ๒๙ ได้กล่าวแสดงความยินดีกับนายณรงค์ศักดิ์ ที่ได้รับความไว้วางใจดำรงตำแหน่ง ประธานกรรมการหอการค้าไทย-จีน อีกวาระหนึ่ง พร้อมกล่าวชื่นชม หอการค้าไทย-จีน ที่ได้แสดงบทบาทเป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ ไทย-จีนให้แน่นแฟ้นในทุกมิติ ตลอดระยะเวลา ๑๑๔ ปีที่ผ่านมา และ เชื่อมั่นว่าหอการค้าไทย-จีน จะทำหน้าที่เสาหลักของนักธุรกิจไทยเชื้อสายจีนและชาวจีนโพ้นทะเล เพื่อร่วมพัฒนาเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนของประเทศให้มีความเจริญรุ่งเรืองสืบต่อไปtt ttท่านอู๋ จื้ออู่ อัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย แสดงความยินดีและชื่นชมบทบาทหอการค้าไทย-จีน ซึ่งเป็นองค์กรชาวไทยเชื้อสายจีนที่ใหญ่ที่สุดสั่งสมชื่อเสียงมายาวนานเป็นที่ยอมรับในสังคมวงกว้าง และยังเป็นศูนย์รวมนักธุรกิจชาวจีนโพ้นทะเลชั้นนำในประเทศไทยมาโดยตลอด พร้อมกันนี้ ท่านอู๋ จื้ออู่ แสดงความเชื่อมั่นว่า ประธานณรงค์ศักดิ์ จะนำคณะกรรมการหอการค้าไทย-จีน แสดงบทบาทผู้นำชาวจีนโพ้นทะเลในประเทศไทย สร้างความสามัคคี พร้อมอำนวยความสะดวกทางการค้าให้กับนักธุรกิจชาวจีนโพ้นทะเล มุ่งพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมระหว่างประเทศไทยและจีน เพื่อสร้างความก้าวหน้าและความสามัคคีของชาวจีนโพ้นทะเล และส่งเสริมความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทย-จีนในยุคใหม่นี้ นายณรงค์ศักดิ์ กล่าวว่า เราต้องร่วมกันยกระดับบทบาทหอการค้าไทย-จีน ซึ่งเป็นองค์กรที่มีประวัติมายาวนานกว่า ๑๐๐ ปี ในเวทีโลกให้มากขึ้น โดยการเรียนรู้จากองค์กรต่างๆ ทั่วโลก ประสานความร่วมมือกับสมาคมธุรกิจต่างๆ เพื่อส่งเสริมความก้าวหน้าของสังคมไทยอย่างกลมกลืนtt ttหอการค้าไทย-จีน ทำหน้าที่เป็นสายใยผูกพันความร่วมมือระหว่างไทย-จีน ในทุกมิติ ช่วยเผยแพร่เรื่องราวดีๆ ของประเทศจีน ในขณะเดียวกันก็แนะนำสภาพแวดล้อมในการทำธุรกิจและการลงุทนในประเทศไทย ผลักดันกิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์ต่างๆ ส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาจีนในประเทศไทย ผลักดันให้เกิดความร่วมมือในเชิงลึกในด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และพลังงานใหม่ เป็นต้น รวมถึงการแบ่งปันโอกาสในรูปแบบจีนสมัยใหม่ ส่งเสริมการสร้างโอกาสเข้าสู่ตลาดจีนที่มีขนาดใหญ่ กว่า ๑,๔๐๐ ล้านคน และสนับสนุนการสร้างประชาคมไทย-จีน ที่มีอนาคตร่วมกัน เพื่อความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ ร่วมสรรค์สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับหอการค้าไทย-จีน บนเส้นทางสายมิตรภาพไทย-จีน ต่อไป นายณรงค์ศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมtt ttอนึ่ง จีน เป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ มีส่วนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก ร้อยละ ๓๐ จีนเป็นคู่ค้าอันดับ ๑ ของไทย ตั้งแต่ปี ๒๕๕๖ เป็นเวลากว่า ๑๑ ปี และยังเป็นตลาดส่งออกสินค้าไทย อันดับ ๒ (รองจากสหรัฐอเมริกา) นอกจากนี้ นักลงทุนจีนยังเข้ามาลงทุนในประเทศไทยสูงเป็นอันดับต้นๆ ของนักลงทุนต่างชาติในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ดังนั้น การลงนาม “ความตกลงว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราซึ่งกันและกัน” ระหว่างประเทศไทยและสาธารณัฐประชาชนจีน ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม นี้เป็นต้นไป จะเป็นการอำนวยความสะดวกและส่งเสริมด้านการท่องเที่ยว การค้าการลงทุน ไทย-จีน โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าประเทศไทย ตามเป้าหมายจำนวน ๘ ล้านคนตามที่วางไว้ในปีนี้