ยุทธการดับซ่า “แก๊งนักร้องไอ้หนุ่มรถไถ” ท่าจะเป็นหนังเรื่องยาวให้ติดตามกันอีกหลายภาค หลายอีพีข่าวใหญ่ของเมืองไทย เบียดข่าวใหญ่ระดับโลกเป้าโฟกัสของสื่อยักษ์ใหญ่ นานาชาติเฝ้าจับตา “หวัง อี้” สมาชิกกรมการเมือง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกลางด้านการต่างประเทศ ในฐานะ รัฐมนตรีว่าการต่างประเทศ ของสาธารณรัฐ ประชาชนจีน นัดพบกับ “เจก ซัลลิแวน” ที่ปรึกษาสภาความมั่นคงแห่งชาติ สหรัฐอเมริกาณ เซฟเฮาส์ ใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร เมืองหลวงไทยแลนด์ประเทศไทยถูกเลือกเป็น “ดินแดนแห่งไมตรี” สถานที่โคจรมาเจรจา “ความเมืองโลก” ของ ๒ ชาติมหาอำนาจขั้วขัดแย้ง เบอร์สองของมังกรจีน ปิดห้อง “หารือแบบปิด” กับเบอร์ต้นๆของพญาอินทรีท่ามกลางอุณหภูมิร้อนๆ ภูมิรัฐศาสตร์โลกระอุหลายจุดไล่ตั้งแต่ “ทะเลแดงเดือด” ในโซนตะวันออกกลาง จากการอาละวาดของกบฏฮูตี สัญชาติเยเมน ดักปล้น โจมตีไม่เลือกเรือรบ เรือบรรทุกสินค้าของนานาชาติ สวมบทเป็นนอมินีของประเทศอิหร่าน ขาใหญ่มุสลิมชีอะห์ เปิดฉากปะทะกับพันธมิตรของสหรัฐฯและชาติตะวันตก“อิหร่าน” เลือดขึ้นหน้า ตั้งท่าลุยแหลกกับสหรัฐฯและชาติตะวันตกตามรูปการณ์ที่พี่เบิ้มน่าจะเริ่มรู้สึกถึงความเสียหาย มูลค่าของสงครามทะเลแดงที่ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน กระทบงบประมาณเพนตากอน นั่นไม่เท่ากับเศรษฐกิจโดยภาพรวมของพันธมิตรชาติตะวันตก จึงหวังเจรจาผ่านพญามังกรจีนที่เป็นพี่ใหญ่ของเอเชียและขั้วตรงข้ามกับโลกเสรีประชาธิปไตยช่วยกล่อมรัฐบาลอิหร่านให้ลดโทนเผชิญหน้าในสงครามทะเลแดงและนั่นก็ต้องแลกกันกับทางฝ่ายรัฐบาลปักกิ่งก็คงต้องการให้สหรัฐฯกระตุกเบรกรัฐบาลไต้หวันที่เพิ่งได้ประธานาธิบดีคนใหม่ สายต่อต้านการรวมแผ่นดินจีนเดียวให้ลดดีกรีความซ่าท้าทาย “สี จิ้นผิง” จุดชนวนสงครามทะเลจีนใต้อีกจุดก็หนีไม่พ้นสถานการณ์สมรภูมิ “โกก้าง–เล่าก์ก่าย” สงครามภายในของประเทศเมียนมาที่กลุ่มชาติพันธุ์แข็งข้อเปิดฉากสู้รบแตกหักครั้งใหญ่กับรัฐบาลทหาร “มิน อ่องหล่าย” เชื้อชนวนจากการที่รัฐบาลปักกิ่งสั่งกวาดล้างแหล่งธุรกิจของ “จีนเทา”ตามรูปเกมที่สหรัฐฯต้องรีบเคลียร์ยุทธศาสตร์ “สี จิ้นผิง” เขย่าความมั่นคงใน “ตองอู”๓ ช็อตสำคัญที่ฝ่ายความมั่นคง โดยเฉพาะนักลงทุนทั่วโลกจับตาการขยับของมหาอำนาจขาใหญ่แม้ประเทศไทยจะมีสถานะเป็นแค่ผู้ให้เช่าสถานที่ แบบที่โฆษกกระทรวงการต่างประเทศระบุผ่านสำนักข่าวระดับโลกย้ำรัฐบาลไทยไม่ได้มีบทบาทในการหารือแบบทวิภาคีของตัวแทนจีนกับสหรัฐฯtt ttมีโอกาสแค่การโชว์ลงนามข้อตกลง “ฟรีวีซ่า” ระหว่างนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯและ รัฐมนตรีว่าการคลัง กับ “หวัง อี้” และการตกปากรับคำเรื่องการส่งหมีแพนด้าเป็นทูตสันถวไมตรีแต่โดยที่รัฐบาลปักกิ่งปักหมุดกรุงเทพฯเป็นพื้นที่ปลอดภัยขั้นสูงในการจับเข่าเจรจากับคู่อริอย่างสหรัฐฯในการลดอุณหภูมิความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์หลายจุด แสดงถึงการมองไทยเป็นบ้านอีกหลังในจังหวะเทศกาล “ตรุษจีน” ต้องถือว่า ไทยได้ “อั่งเปา” จากพี่ใหญ่จีนมากกว่าใครเรื่องของเรื่อง ระหว่างประเทศไทยกับจีนแผ่นดินใหญ่มันมีอะไรผูกพันมากกว่าความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่าง “รัฐ” ต่อ “รัฐ” ด้วยสายสัมพันธ์ที่ฝังรากลึกพัฒนาเป็นความสัมพันธ์ในระดับ “เพื่อนแท้”นอกจากการเชื่อมไมตรีผ่าน “บุคคลชั้นสูง” ยังรวมถึงอดีตนักการเมือง ผู้มีบทบาทผ่านการบริหารประเทศที่มีสัมพันธ์พิเศษกับรัฐบาลปักกิ่ง ที่เห็นเด่นๆอย่างเช่นนายพินิจ จารุสมบัติ อดีตรองนายกฯที่ผันตัวเองเป็นประธานสภาวัฒนธรรมไทย–จีน และส่งเสริมความสัมพันธ์ สายสัมพันธ์แน่นปึ้กกับสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้รับความไว้วางใจจากแผ่นดินใหญ่ให้เป็นตัวเชื่อมประสานงานสำคัญๆโดยเฉพาะเทศกาลตรุษจีน จะมีการโชว์พลังสายสัมพันธ์เชื่อม ๒ ชาติอย่างยิ่งใหญ่อีกคนก็หนีไม่พ้น “ซ่งฉี พู่จ๋งหลี่” ชื่อที่คนจีนแผ่นดินใหญ่เรียก “จอมยุทธ์กวง” นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกฯ มือบริหารเศรษฐกิจอันดับต้นๆของประเทศไทยได้รับการยอมรับจากทีมงานปักกิ่ง ให้เครดิตชื่อชั้นและฝีมือและถือฤกษ์ก่อนตรุษจีน “ด็อกเตอร์สมคิด” ที่เก็บเนื้อเก็บตัวมานาน เพิ่งตอบรับเทียบเชิญกล่าวปาฐกถาพิเศษ “จับชีพจรชีวิตประเทศไทย” ในเวทีสัมมนาเศรษฐกิจประจำปี ๒๕๖๗ งานใหญ่จัดโดยสมาคมเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ ในวันที่ ๑ กุมภาพันธ์นี้ ตั้งแต่เวลา ๙ โมงเช้าเป็นต้นไประดับ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” ผ่าสถานการณ์เศรษฐกิจ โดยไม่มีวาระแฝงการเมือง รัฐบาล ฝ่ายค้านมาตรฐาน “ซ่งฉี พู่จ๋งหลี่” นักลงทุนคงตั้งใจฟังเป็นพิเศษ.ทีมข่าวการเมืองคลิกอ่านคอลัมน์ “วิเคราะห์การเมือง” เพิ่มเติม
Related posts