Friday, 20 September 2024

ทฤษฎีส้มเน่า

บริษัทที่ขาดทุนมาตลอด หรือกลายเป็นธุรกิจตะวันตกดิน แม้ไม่ต้องอ่านงบการเงินก็รู้ทันที เพราะบรรยากาศภายในองค์กรจะซึมเซา ไม่เข้มงวดกวดขัน พนักงานทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม ถามว่าบริษัทกำลังตกต่ำ แต่ทำไมพนักงานยังคงร่าเริงอยู่ได้ เพราะในส่วนลึกของมนุษย์แล้วมักผลักภาระให้คนอื่นด้วยความคิดที่ว่าการบริหารจัดการเพื่อพลิกฟื้นบริษัทเป็นหน้าที่ของพวกผู้บริหาร ส่วนพนักงานกินเงินเดือนอย่างเราๆแค่ทำงานตรงหน้า ให้เรียบร้อยก็พอการปล่อยปละพนักงานให้ทำงานไปวันๆแบบไม่รับผิดชอบต่อเป้าหมายร่วมกันขององค์กรเป็นสิ่งที่อันตรายมาก ไม่เว้นแม้แต่ในสภาวะที่บริษัทขาดทุนต่อเนื่อง เงินเดือนไม่ขึ้น และไร้อนาคตทางการงาน “คุณฮาเซงาวะ คะซุฮิโระ” นักบริหารมือทองของญี่ปุ่น เขียนถึง “กลยุทธ์การเคี่ยวคน ๕% เห็นผลทั้งองค์กร” ไว้อย่างน่าสนใจ เพื่อจูงใจพนักงานระดับแนวหน้า แค่ ๕% แล้วให้คนกลุ่มนี้ แผ่อิทธิพลออกไปครอบคลุมคนทั้งหมดในองค์กรอย่างเป็นธรรมชาติไร้รอยตะเข็บการที่พนักงานทั่วไปทำงานโดยไม่ตระหนักถึงภาวะวิกฤติ บริษัทย่อมไม่มีทางพลิกฟื้นกลับมามีกำไร คำถามก็คือทำยังไงให้คนไม่เอาไหนอยากเป็นคนเก่งและเลิกเกี่ยงงาน “คุณฮาเซงาวะ” ชี้แนะว่า ถ้าจูงใจคน ๕% ได้ จิตสำนึกของทุกคนจะเปลี่ยนไปทันทีเขาเปรียบเทียบกับทฤษฎีส้มเน่า เมื่อใส่ส้มเน่าลูกเดียวในลังส้มมันจะทำให้ส้มทั้งลังเน่าหมด แต่กรณีของคนนั้นสามารถจัดการ ให้เกิดผลลัพธ์ตรงกันข้ามได้!! อธิบายให้เข้าใจง่ายๆคือ การเพิ่มความกระตือรือร้นให้พนักงานระดับแนวหน้าเพียงไม่กี่คน แล้วส่งพนักงานเหล่านี้แทรกซึมไปอยู่ในกลุ่มคนที่เฉื่อยชาไม่เอาไหน รัศมีของความกระตือรือร้นจะกระจายไปยังคนทั้งหมดในที่สุดเมื่อพนักงานส่วนหนึ่งเปลี่ยนไป พนักงานที่เฉื่อยชาจะเกิดความรู้สึก ๒ อย่าง คือ “ความร้อนรน” เนื่องจากความแตกต่างในหมู่พนักงานได้ขยายวงกว้างออกไป เพื่อนร่วมงานที่เคยนั่งติดกับพวกเขาทำผลงานได้มากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเห็นเพื่อนใกล้ชิดเป็นแบบนั้นก็เกิดความร้อนรนว่าถ้าตัวเองไม่เปลี่ยนแปลงด้วย จะถูกปล่อยทิ้งไว้ข้างหลัง สุดท้ายจึงเคี่ยวเข็ญตัวเองให้พยายามทำงานด้วยความกระตือรือร้นมากขึ้น และมองเห็นความเป็นไปได้ของตัวเองในการเปลี่ยนแปลงยิ่งถ้าเห็นความแตกต่างจากการขึ้นเงินเดือนและเลื่อนตำแหน่ง ของเพื่อนร่วมงานระดับแนวหน้า ความรู้สึกร้อนรนจะทวีความรุนแรง จนเกิดเป็นความรู้สึกที่ว่า “ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้ว”จากประสบการณ์ของ “คุณฮาเซงาวะ” ที่เคยพลิกฟื้นบริษัทมากมายให้รอดพ้นจากวิกฤติพบว่า ถ้าเปลี่ยนพนักงาน ๕% ได้ พนักงานทั้งหมดจะเปลี่ยนแปลงพรวดเดียวราวกับเกิดพายุหิมะ กรณีบริษัทมีพนักงานอยู่ ๑,๐๐๐ คน แค่เปลี่ยนจิตสำนึกของพนักงานให้ได้ ๕๐ คน จิตสำนึกของพนักงานทั้งหมดก็จะเปลี่ยนไปทันทีการจุดไฟในใจมนุษย์เงินเดือนให้พวกเขาเกิดสภาวะที่อยากปฏิวัติตัวเองเป็นคนใหม่ เป็นสิ่งที่ทำให้บริษัทเปลี่ยนไปได้อย่างยั่งยืน ผู้บริหารยุคใหม่ต้องรู้จักใช้ศิลปะการจูงใจลูกน้อง ใช้พลังละมุนที่ทำให้คนอื่นยอมรับโดยไม่ต้องแสดงอำนาจบังคับฝืนใจ แม้จะเป็นคำสั่งเหมือนกัน แต่ระหว่างการใช้อำนาจบังคับให้คนอื่นเชื่อฟังกับการร่ายมนตร์ให้คนอื่นยอมรับเอง ส่งอิทธิพลต่อจิตใจของอีกฝ่ายแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง.มิสแซฟไฟร์คลิกอ่านคอลัมน์ “คนดังอะราวนด์เดอะเวิลด์” เพิ่มเติม