Friday, 20 September 2024

เปิดสาเหตุ ทำเกษตรกรยุโรปทนไม่ไหว ต้องขนแทรกเตอร์ออกมาประท้วง

เกษตรกรในหลายประเทศทั่วยุโรป ขนรถแทรกเตอร์ออกมาวิ่งบนท้องถนน เพื่อแสดงความไม่พอใจต่อปัญหามากมายที่ทำให้รายได้ของพวกเขาตกต่ำลง จนกระทบการใช้ชีวิตหนึ่งในปัญหาสำคัญคือ ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น สวนทางกับราคาสินค้าที่ลดลง ทั้งยังต้องแข่งขันกับสินค้านำเข้าที่มีราคาถูกกว่า ซึ่งไม่ต้องเผชิญข้อจำกัดเข้มงวดแบบที่เกษตรกรในยุโรปโดนเกษตรกรยังไม่พอใจนโยบายของสหภาพยุโรป ที่เพิ่มความเข้มงวดในการเพาะปลูก จำกัดการใช้ยาฆ่าแมลง ปุ๋ย และอื่นๆ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทำให้พวกเขาผลิตสินค้าได้น้อยลงเกษตรกรขนรถแทรกเตอร์หลายร้อยคันออกมาปิดถนนในกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ในวันพฤหัสบดี และปาไข่เข้าใส่อาคารรัฐสภายุโรป ตามรอยการประท้วงของเหล่าชาวไร่ชาวสวนทั่วยุโรปตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ทั้งในกรีซ, เยอรมนี, โปรตุเกส, โปแลนด์ และฝรั่งเศสชาวไร่ซึ่งกำลังเผชิญวิกฤติค่าครองชีพ ตัดสินใจออกมาประท้วงเพื่อแสดงความไม่พอใจการเพิกเฉยของภาครัฐบาล โดยปัญหาบางอย่างเช่น แผนเลิกพักภาษีน้ำมันดีเซลในภาคการเกษตรของเยอรมนี หรือ ข้อกำหนดของเนเธอร์แลนด์ ที่ให้เกษตรการลดการปล่อยก๊าซไนโตรเจน เป็นปัญหาเฉพาะถิ่น แต่ยังมีอีกหลายเรื่องที่เป็นความกังวลระดับทวีปปัญหาที่ว่าได้แก่ ราคาสินค้าตกต่ำสวนทางกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น นอกจากนั้นยังต้องเจอกับ การครอบงำขอพ่อค้าปลีกที่ทรงอิทธิพล, หนี้สิน, ความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ และสินค้านำเข้าจากต่างประเทศที่มีราคาถูกกว่า โดยที่พวกเขาต้องพึ่งพาระบบเงินอุดหนุน ที่ให้ความสำคัญกับผู้ผลิตรายใหญ่มากกว่าอีกtt ttค่าใช้จ่ายเพิ่ม สวนทางรายได้ค่าใช้จ่ายของเกษตรกร เช่นค่าพลังงงาน, ปุ๋ย และการขนส่ง เพิ่มสูงขึ้นมากในหลายประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) โดยเฉพาะหลังรัสเซียยกทัพบุกโจมตียูเครนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๕ ซึ่งทำให้รัฐบาลของหลายประเทศรวมถึงผู้ค้าปลีกต้องเคลื่อนไหวเพื่อลดราคาอาหารที่พุ่งสูง ไม่ให้ลุกลามเป็นวิกฤติค่าครองชีพของผู้บริโภคแต่ในขณะเดียวกัน ราคาหน้าฟาร์ม ซึ่งเป็นราคาที่ดีที่สุดที่เกษตรกรจะได้จากสินค้าของพวกเขา ลดลงเกือบ ๙% ในช่วงระหว่างไตรมาส ๓ ของปี ๒๕๖๕ ถึงช่วงเดียวกันของปี ๒๕๖๖ โดยมีสินค้าไม่กี่ประเภทอย่างเช่น น้ำมมะกอก เท่านั้น ที่ราคาเพิ่มขึ้นเพราะสินค้าขาดแคลนเรื่องสินค้านำเข้าก็กลายเป็นสิ่งที่น่ากังวล โดยเฉพาะในชาติยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก เนื่องจากการไหลทะลักเข้ามาของสินค้าเกษตรราคาถูกจากยูเครน ที่ได้รับการผ่อนผันโควตาจาก EU เพื่อช่วยเหลือหลังถูกรัสเซียโจมตี แต่การทำเช่นนี้กลับทำให้ราคาสินค้าที่ผลิตในประเทศตกต่ำลง และเกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมชาวสวนโปแลนด์เป็นกลุ่มแรกที่ออกมาเคลื่อนไหวเมื่อฤดูใบไม้ผลิปีก่อน ด้วยการปิดกั้นถนนที่เชื่อมต่อกับยูเครน ถึงแม้ว่า EU จะมีมาตรการจำกัดสินค้าส่งออกของยูเครนที่จะเข้าสู่ประเทศเพื่อนบ้านอยู่แล้ว และทันทีที่มาตรการนี้หมดอายุ โปแลนด์, ฮังการี และสโลวาเกีย ก็เริ่มบังคับใช้มาตรการของตัวเองสินค้านำเข้าเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ชาวสวนในฝรั่งเศสออกมาประท้วงในสัปดาห์นี้ โดยไม่ใช่แค่สินค้าจากยูเครน แต่ยังรวมถึงนิวซีแลนด์ และชิลี เนื่องจากผู้ผลิตของเหล่านี้ไม่ต้องอยู่ภายในการตรวจสอบเข้มงวดแบบที่ชาวไร่ในสหภาพยุโรปโดนtt ttอากาศเปลี่ยน ร้อนขึ้น แล้งขึ้นสภาพอากาศสุดขั้วเนื่องจากภาวะความเปลี่ยนแปลงของสภาพาอากาศ กำลังส่งผลกระทบต่อการผลิตสินค้าเกษตรในยุโรปมากขึ้นเรื่อยๆ โดนในตอนนี้ อ่างเก็บน้ำบางแห่งในภาคใต้ของสเปนมีน้ำเหลือแค่ ๔% ของความจุดทั้งหมด ขณะที่ไฟป่าในกรีซเมื่อปี ๒๕๖๖ ทำให้พวกเขาสูญเสียรายได้จากการเกษตรประจำปีไปกว่า ๒๐%จนถึงตอนนี้ ประเทศในภาคใต้ของยุโรปยังไม่เจอกับการประท้วงขนาดใหญ่ของเกษตรกร แต่สถานการณ์อาจเปลี่ยนไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสเปน และโปรตุเกส ที่รัฐบาลกำลังพิจารณาบังคับใช้มาตรการจำกัดการใช้น้ำ เนื่องจากเกิดภัยแล้งรุนแรงtt ttนโยบาย CAP ช่วยแต่คนรวยนโยบายการเกษตรร่วม (Common Agriculture Policy – CAP) เป็นระบบจ่ายเงินอุดหนุนแก่เกษตรกรใน EU ปีละ ๕.๕ หมื่นล้านยูโร ที่ใช้มานานกว่า ๖๐ ปี แต่นโยบายที่ควรจะปกป้องความเป็นอยู่ของชาวไร่ชาวสวนนี้ กลับเป็นหนึ่งในรากของปัญหาเบื้องหลังการลดลงของฟาร์มขนาดเล็กระหว่างปี ๒๕๔๘-๒๕๖๓ จำนวนฟาร์มขนาดเล็กในสหภาพยุโรปลดลงไปเกือบ ๔๐% ทำให้เกษตรกรรายเล็กกว่า ๕.๓ ล้านรายต้องเลิกกิจการ ในจำนวนนี้ส่วนใหญ่ถือครองพื้นที่ไม่ถึง ๕ เฮกตาร์ หรือราว ๓๑.๒๕ ไร่ทั้งนี้เนื่องจาก เงินอุดหนุนที่เกษตรกรจะได้จากนโยบาย CAP นั้น ขึ้นอยู่กับจำนวนที่ดินที่พวกเขาเพราะปลุก มันจึงส่งเสริมให้เกิดการควบรวมที่ดิน สุดท้าย ราว ๘๐% ของงบประมาณสำหรับเกษตรกรของ EU กลับไปตกอยู่ที่ชาวไร่ชาวสวนจำนวน ๒๐% บนยอดพีระมิด ที่มีฟาร์มขนาดใหญ่และร่ำรวยที่สุดในช่วงไม่กี่ปีหลังที่โลกเริ่มตื่นตัวเรื่องภาวะโลกร้อนมากขึ้น EU พยายามหาทางลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคการเกษตร ด้วยแผนการ ‘farm to fork’ หรือ ‘จากฟาร์มสู่โต๊ะอาหาร’ วางเป้าหมายลดการใช้ยาฆ่าแมลงให้ได้ ๕๐% ภายในปี ๒๕๗๓, ลดการใช้ปุ๋ยลง ๒๐%, สงวนที่ดินเป็นที่ว่างเปล่าเพื่อให้ธรรมชาติฟื้นตัว และเพิ่มปริมาณพืชออร์แกนิกที่ฟาร์มต่างๆ ใน EU ต้องผลิตเป็นเท่าตัวที่ ๒๕% ของผลผลิตทั้งหมดแค่นโยบายที่มีอยู่เดิมของ EU อย่างเช่นการชลประทาน และสวัสดิภาพสัตว์ ก็ทำให้เกษตรกรมากมายในยุโรปไม่พออยู่แล้ว และพวกเขามองว่า นโยบายสีเขียวที่เพิ่มเข้ามาให้นี้ ไม่เป็นธรรม, ไม่สามารถทำได้จริง, ไม่อาจประสบความสำเร็จได้ในเชิงเศรษฐกิจ และในท้ายที่สุดจะเป็นการทำลายตัวเองtt ttรัฐบาลชาติยุโรปเคลื่อนไหวทันทีการประท้วงของเกษตรกรทำให้รัฐบาลต่างๆ เริ่มเคลื่อนไหวเพื่อแก่ปัญหา เช่น เยอรมนียอมประนีประนอมแผนตัดเงินอุดหนุนน้ำมันดีเซล, ฝรั่งเศสพับแผนขึ้นภาษีน้ำมันดีเซล เลื่อนบังคับใช้นโยบายอื่นๆ และจัดสรรงบประมาณ ๑๕๐ ล้านดอลลาร์เพื่อช่วยเหลือชาวไร่ชาวสวน ซึ่งส่งผลให้สหภาพเกษตรประกาศให้สมาชิกยุติการประท้วงชั่วคราว“ทุกที่ในยุโรปมีคำถามเดียวกันถูกหยิบยกขึ้นมา คือ เราจะผลิตมากขึ้นและดีขึ้นได้อย่างไร? เราจะรับมือความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศต่อไปได้อย่างไร? เราจะสามารถหลีกเลี่ยงการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมจากต่างประเทศได้อย่างไร?” นายกาเบรียล อัตตาล นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสกล่าวในวันพฤหัสบดีขณะที่ในระดับ EU คณะกรรมาธิการยุโรปเสนอให้จำกัดการนำเข้าสินค้าเกษตรจากยูเครน ที่นำเข้ามาผ่านมาตรการ ‘เบรกฉุกเฉิน’ และออกข้อยกเว้นให้เกษตรกรในชาติสมาชิก EU ไม่ต้องสงวนพื้นที่ ๔% เป็นที่ดินเปล่า โดยไม่เสียสิทธิ์รับเงินอุดหนุนและเนื่องจากการเลือกตั้งรัฐสภายุโรปกำลังจะมาถึงในเดือนมิถุนายนนี้ พรรคฝ่ายขวาจัดซึ่งคาดว่าจะได้เก้าอี้ในสภาเพิ่มมากขึ้น จึงฉวยจังหวะก้าวเข้ามาเป็นผู้สนับสนุนชาวไร่ชาวนา และมีความเป็นไปได้ที่จะมีการผ่อนปรนข้อบังคับ หรือมาตรการประนีประนอมเพิ่มขึ้นอีกอย่างไรก็ตาม มีคำถามตามมาว่า การลดมาตรการสีเขียวดีต่อเกษตรกรจริงหรือไม่ เพราะภาวะโลกร้อนกำลังกระทบทุกชีวิตบนโลก โดยเฉพาะตัวชาวไร่ชาวสวนเอง ที่ต้องเผชิญกับภัยแล้งยาวนาน และน้ำท่วมรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาผู้เขียน : ทิตชนม์ สว่างศรีที่มา : the guardian , birdlife , politico