Thursday, 19 December 2024

ศาล รธน.หักธงรื้อ ม.๑๑๒ ลากก้าวไกลติดเงี่ยงยุบพรรค : เกมสภาแกว่ง นอกสภากรุ่น

แหวกม่านฝุ่นควันพิษ PM๒.๕ ท้องฟ้าแจ่มใสได้แค่ ๗ วัน ๗ คืนกองเชียร์ด้อมส้ม ทีมคนรุ่นใหม่ยังดีใจกันไม่หาย บรรยากาศพรรคก้าวไกลก็หวนกลับมาอึมครึมคล้ายเมฆหมอกมรณะปกคลุม มืดมนอนธการหลังปรากฏการณ์ฟ้าฟาด จากคำพิพากษาของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นำโดยนายวรวิทย์ กังศศิเทียม ประธานศาลรัฐธรรมนูญ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ นายปัญญา อุดชาชน นายจิรนิติ หะวานนท์ นายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ นายนภดล เทพพิทักษ์ นายอุดม รัฐอมฤต นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม นายวิรุฬห์ แสงเทียนลงมติด้วยคะแนนเอกฉันท์ ๙ ต่อ ๐ เสียงวินิจฉัยการกระทำของ “หนุ่มทิม” นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ผู้ถูกร้องที่ ๑ และพรรคก้าวไกล ผู้ถูกร้องที่ ๒ เข้าข่าย “ล้มล้างการปกครอง”จากกรณีนโยบายเกี่ยวกับประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒พฤติการณ์ “เซาะกร่อน–บ่อนทำลาย” สถาบันเบื้องสูง สั่งให้เลิกการกระทำ การแสดงความคิดเห็น การเขียน การพิมพ์และการโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่นเพื่อให้มีการยกเลิกกฎหมายมาตรา ๑๑๒อีกทั้งไม่ให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ ด้วยวิธีการซึ่งไม่ใช่กระบวนการทางนิติบัญญัติโดยชอบ ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วย“พิธา” ถูกหวย ทีม สส.กองทัพส้มส่อซวยยกแผงตามแรงตกกระทบ ผลพวงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ส่อเป็น “เชื้อบาดทะยัก” ลามหนักถึงขั้นโดน “ยุบพรรค” และโทษหนักสุด “ประหารชีวิตทางการเมือง” ตัวพ่อด้อมส้ม และอีก ๔๓ สส.พรรคก้าวไกลแบบที่ “นักร้องอาชีพ” ปาดหน้าแย่งกันรับงานตัวจี๊ดวงการอย่างนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ชิงลูกเก๋าเป็นเสือปืนไว ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ ยุบพรรคก้าวไกล และตัดสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหารพรรคเบียดซีนกับ “ทนายพุทธะอิสระ” นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ในฐานะผู้ร้องปม ๑๑๒ ต่อศาลรัฐธรรมนูญ ที่ลุยซ้ำดาบสอง ยื่น กกต.ให้ล้มกระดานนายพิธาและพรรคก้าวไกล ตามลูกติดพันจากปมล้มล้างการปกครองtt ttและยังพ่วงด้วยการยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อให้เอาผิดจริยธรรมนายพิธา และ สส.พรรคก้าวไกล รวม ๔๔ คน ที่ร่วมลงชื่อใน พระราชบัญญัติแก้ไขมาตรา ๑๑๒ขาดแค่ “พี่ศรี” นายศรีสุวรรณ จรรยา ที่ติดคิว “ไอ้หนุ่มรถไถ”นักร้องอาชีพครึกครื้น มหกรรม “รุมกินโต๊ะจีน” พรรคก้าวไกล คึกคักตามสัญญาณคลื่นความถี่สูงเกมล้างบาง “น้ำสอง” ทีมเด็กรุ่นใหม่ขบวนการ “อนุรักษ์นิยม” กระเหี้ยนกระหือรือ กวาดเสี้ยนหนาม “เสรีนิยม”และแน่นอน โดยอิทธิฤทธิ์ของ “มาตรา ๑๑๒ ต้องห้าม” ลามถึงวิบากกรรมยุบพรรค ประหารชีวิตทางการเมืองกองทัพส้ม หนีไม่พ้นก่อผลกระทบการขับเคลื่อนภารกิจฝ่ายนิติบัญญัติในสภาผู้แทนราษฎรตามจังหวะที่นายพิธาเพิ่งแถลงโรดแม็ปปี ๒๕๖๗ กางพิมพ์เขียว ๖ เป้าหมายทำให้ประเทศ ไทยเป็นประชาธิปไตยเต็มใบ มุ่งไปที่การล็อกคิวอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในเดือนเมษายนเน้นการเดินหน้าเข็นร่าง พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฯเหยื่อมาตรา ๑๑๒แต่แม่ทัพอย่าง “หนุ่มทิม” ยังต้องลุ้นชะตากรรม จะอยู่ถึงหรือไม่ รวมถึง ๔๓ สส.ของพรรคก้าวไกลที่โดนลากเข้าปมเงี่ยงจริยธรรม ล้วนแต่ระดับขุนศึกทั้งนั้นอารมณ์แบบที่ “เดอะต๋อม” นายชัยธวัช ตุลาธน ผู้นำฝ่ายค้าน หัวหน้าพรรคก้าวไกล โยนเครื่องหมายคำถามย้อนศร ตีความคำตัดสินของรัฐธรรมนูญที่ยังคลุมเครือ อาจกระทบการแก้กฎหมายของฝ่ายนิติบัญญัติในอนาคตดักคอเลยว่า หากยุบพรรคก้าวไกล การเมืองไม่ปกติแน่สัญญาณคลื่นตรงกันกับ “ตัวตึง” อย่างนายรังสิมันต์ โรม และนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ ค่ายสีส้ม ที่ระบุคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญสร้างคำถามให้สังคมtt ttเตือนเป็นนัย ถ้าหากขวางวิธีแก้กฎหมายมาตรา ๑๑๒ ไม่ให้พื้นที่ฝ่ายนิติบัญญัติในสภา จะนำมาซึ่งวิกฤติใหม่ ตามธรรมชาติของพรรคก้าวไกลที่ไม่ใช่ตัวบุคคล แค่คือทุกคนที่มีความเชื่ออยากเห็นสังคมที่ดีกว่าตามเงื่อนไขสถานการณ์ ฝ่าย เสธ.กองทัพส้มเดินหมากดักไว้แล้ว กับความได้เปรียบเชิงกระแส มวลชนพร้อมแห่ “ตายสิบเกิดล้าน”ฉวยแรงกดดันจากการโดนบล็อกในสภา กระพือควันเริ่มกรุ่นนอกสภาสัญญาณเคลื่อนม็อบลงถนนแว่วมาแต่ไกลและที่จมูกไวสุดก็คือ “นักลงทุน” ตามปรากฏการณ์แบบที่กระดานหุ้นแดงเถือกในวันที่ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยพรรคก้าวไกลล้มล้างการปกครองเกมอำนาจการเมืองไทยไหลเข้าสู่จุดความเสี่ยงสูงในขณะที่สื่อยักษ์ ทั้งรอยเตอร์ บีบีซี เอพี อัลจาซีรา นิเคอิ เอเชีย ฯลฯ พากันรายงานข่าวไปทั่วโลก พุ่งเป้าขยายประเด็นพรรคการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งเป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทย ถูกเบรกนโยบายสำคัญในการหาเสียงกระตุกแรงกดดันการพัฒนาประชาธิปไตยความไม่แน่นอนในสถานการณ์ ตามเงื่อนไขที่โยง ต่อเนื่อง โอกาสสูงที่จะยกระดับเป็นแรงกดทับทางเศรษฐกิจของเมืองไทย แบบหนีไม่ออก เลี่ยงไม่ได้ทั้งแรงบีบภายนอกประเทศ แรงกระเพื่อมจากการดิ้นสู้เกมอำนาจภายในมันคือโจทย์โคตรยากที่เติมเข้าไป “ซ้ำซ้อน” โจทย์โคตรโหดหินสภาพการณ์แบบที่ “ซาร์เศรษฐกิจ” ระดับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกฯ มือวางอันดับต้นๆของเอเชีย เพิ่งขึ้นเวทีเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ ฉายภาพเศรษฐกิจของประเทศไทยฟันธงจีดีพีไทยไม่มีทางเติบโตเหมือนเดิมอีก เพราะประเทศขาดความสามารถในการแข่งขันtt ttจากปัจจัยสำคัญเป็นตัวฉุดรั้ง การแบ่งขั้วแบ่งสี ความขัดแย้งทางการเมืองที่เป็นตัวถ่วงมากว่า ๒๐ ปี ตอนนี้เศรษฐกิจไทยตามไม่ทันคู่แข่งในอาเซียนแล้ว ทั้งอินโดนีเซีย เวียดนาม มาเลเซีย ทิ้งไปไม่เห็นฝุ่นสภาพการยื้อแย่งผลประโยชน์ในเกมอำนาจ รัฐบาลแต่ละช่วงออกนโยบายบริหารดีๆ แต่การเมืองไม่สนับสนุนให้ทำได้ เพราะการเมืองมุ่งแต่เอาชนะกัน แบ่งสี แบ่งขั้ว แบ่งค่าย เพื่อช่วงชิงเอาฐานเสียงทุกรูปแบบและก็นำไปสู่การต้องหาเสบียง หาเงิน ดัชนีคอร์รัปชันก็เลยพุ่งสูงเปิดโอกาสให้ทุนธุรกิจการเมืองเข้ามา กลายเป็นรูปแบบธุรกิจ นโยบายจึงออกมาเป็น “ควิกวิน” ระยะสั้น ไม่สามารถทำระยะยาวได้ เรื่องที่เป็นนโยบายใหญ่ๆ กฎหมายสำคัญๆที่จะออกจากสภาก็ไม่ทำการเมืองก็ใช้วิธีปรองดองกันเพื่อผลประโยชน์เท่าที่ทำได้ความเชื่อใจ ความเชื่อมั่น และความน่าเชื่อถือของประเทศ คือสิ่งสำคัญที่สุดในสถานการณ์ขณะนี้สไตล์ “สมคิด” นานๆปล่อยของซะที ไม่พูดพร่ำเพรื่อ เหนืออื่นใด ตามสถานะของคนที่ลอยตัวอยู่บนภู ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดไม่มีวาระแฝง เข้าทาง “ฝ่ายค้าน” หรือเข้าเหลี่ยม “รัฐบาล”การออกมาสะท้อนภาวะเศรษฐกิจของอดีตรองนายก รัฐมนตรี มือเศรษฐกิจทั้งในยุครัฐบาลไทยรักไทย และรัฐบาลทหาร ๓ ป. ถือว่ามีน้ำหนัก จังหวะพอดิบพอดีกับตามภาพตรงหน้า“เดจาวู” ไฟขัดแย้งรอบใหม่เริ่มระอุจากในสภา ทะลักลงถนนและคนที่เครียดหนักกว่าใคร หนีไม่พ้นเบอร์หนึ่งฝ่ายบริหารอย่างนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯและ รัฐมนตรีว่าการคลัง อารมณ์ “มือใหม่หัดขับ” ต้องเจอกับรถโกดังเก่า บุโรทั่ง “ติดหล่ม” ลึก แรงขยับขับเคลื่อนแทบไม่มีณ จุดที่ “เรือธง” โครงการเทกระจาด “ดิจิทัล วอลเล็ต ๑๐,๐๐๐ บาท” ยังค้างเติ่ง จากที่เสียงแข็งโชว์กองเชียร์ไม่ให้เสียเชิงเสียฟอร์มแต่เสียงเริ่มเบาลงเรื่อยๆตามระดับสัญญาณอันตรายส่วนโปรเจกต์ในฝัน “แลนด์บริดจ์” เชื่อมอ่าวไทย–อันดามัน ก็ยังล่องลอยเคว้งคว้าง สับสนอลเวงกับเมกะ โปรเจกต์อีอีซีที่พร้อมหมดแล้ว แต่รัฐบาลทิ้งไปปั่นโครงการยักษ์ใหม่ แล้วนักลงทุนที่ไหนจะเชื่อในความมั่นคงนโยบายรัฐสถานการณ์ปกติ การบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลผสมสูตรพิสดาร ก็เหนื่อยสาหัสอยู่แล้วแนวโน้มส่อสัญญาณปั่นม็อบลงถนน ยิ่งส่อรากเลือดเข้าไปอีก.“ทีมการเมือง”คลิกอ่านคอลัมน์ “วิเคราะห์การเมือง” เพิ่มเติม

Related posts