๘ จำเลยแฟลชม็อบสกายวอล์ก ไม่ถอยไม่ทน เตรียมอุทธรณ์คดี ด้าน “พิธา-ปิยบุตร” เทียบบทลงโทษชุมนุม ๔๕ นาที รุนแรงกว่ายึดสนามบิน ขณะที่ทนายความชี้เรื่องนี้ไม่ต้องการเอาชนะ แต่ต้องการความจริงวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ ที่ศาลแขวงปทุมวัน ศาลนัดฟังคำพิพากษาที่ พนักงานอัยการคดีศาลแขวง ๖ (ปทุมวัน) เป็นโจทก์ยื่นฟ้องน.ส.ณัฏฐา มหัทธนา, นายแพนกวิน พริษฐ์ ชิวารักษ์, นายธนวัฒน์ วงค์ไชย, นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ, นายปิยบุตร แสงกนกกุล, น.ส.ช่อ พรรณิการ์ วานิช, นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และนาย ไพรัฏฐโชติก์ จันทรขจร เป็นจำเลย ๑-๘ ในความผิดตาม พระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะฯ, ร่วมกันเป็นผู้จัดการชุมนุมสาธารณะโดยไม่แจ้งการชุมนุมต่อผู้รับแจ้งก่อนเริ่มการชุมนุมไม่น้อยกว่า ๒๔ ชั่วโมง, ร่วมกันเป็นผู้จัดการชุมนุมสาธารณะในรัศมี ๑๕๐ เมตร จากพระบรมมหาราชวังฯ, ร่วมกันเป็นผู้จัดการชุมนุมสาธารณะโดยกีดขวางทางเข้าออกหรือรบกวนการปฏิบัติงานหรือการใช้บริการสถานีรถไฟ, ร่วมกันเป็นผู้จัดการชุมนุมสาธารณะโดยไม่ดูแลและรับผิดชอบการชุมนุมสาธารณะไม่ให้เกิดการขัดขวางเกินสมควรต่อประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะฯ, ร่วมกันเป็นผู้จัดการชุมนุมสาธารณะก่อให้เกิดความไม่สะดวกแก่ประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะอันเป็นที่ชุมนุม หรือทำให้ผู้อื่นได้รับความเดือดร้อนเกินที่พึงจะคาดหมายได้ฯ, พระราชบัญญัติควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงฯ จากเหตุการณ์ชุมนุมแฟลชม็อบบริเวณสกายวอล์กสี่แยกปทุมวัน หน้าหอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๒ ภายหลังคณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติยื่นศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคอนาคตใหม่ คดีกู้ยืมเงินจากนายธนาธร ๑๙๑ ล้านบาท และจำเลยยังได้สลับกันขึ้นปราศรัยในการชุมนุมดังกล่าว โดยในวันนี้จำเลยเดินทางมาศาลครบ มีผู้มาให้กำลังใจกันพอหอมปากหอมคอศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ข้อเท็จในทางนำสืบโจทก์และจำเลยหักล้างกันฟังว่า เมื่อจำเลยประกาศเชิญชวนผู้ชุมนุมมาร่วมชุมนุมผ่าน Facebook และทวิตเตอร์ ของกลุ่มจำเลยเอง ย่อมรู้อยู่แล้วว่าหากประกาศโพสต์เชิญชวนจะต้องมีประชาชนมาร่วมชุมนุมจำนวนมาก ดังนั้นจำเลยจึงเป็นผู้จัดการชุมนุมโดยแบ่งหน้าที่กันทำ ศาลเห็นว่าจำเลยไม่สามารถรับผิดชอบต่อการชุมนุมไม่ให้กีดขวางการสัญจรของประชาชนต่อระบบขนส่งสาธารณะ และการชุมนุมอยู่ในเขตพระราชฐาน ใกล้กับพระราชวังสระปทุมฯ ในระยะ ๑๕๐ เมตร พิพากษาว่าจำเลยกระทำผิดตามห้อง ให้จำคุกจำเลยทั้ง ๘ จำนวน ๔ เดือน ปรับคนละ ๑๐,๐๐๐ บาท เมื่อพิเคราะห์อายุ ประวัติ สถานะทางสังคม ความมีชื่อเสียง และมีผู้ติดตามจำนวนมาก จำเลยไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน และการชุมนุมเป็นการแสดงออกแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ไม่ใช่อาชญากรรมร้ายแรง เห็นควรให้โทษจำคุก รอลงอาญาไว้เป็นเวลา ๒ ปี ส่วนกรณีที่จำเลยไม่แจ้งการชุมนุม และใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติปรับพินัย ลงโทษปรับพินัยอีกคนละ ๑๐,๒๐๐ บาท รวมปรับ ๒๐,๒๐๐ บาทภายหลังฟังคำพิพากษาเสร็จสิ้น นายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ในฐานะทนายความ กล่าวภายหลังศาลพิพากษาว่า จำเลยยังติดใจในประเด็นเรื่องของระยะ ๑๕๐ เมตรของเขตมาตรฐานว่าวัดจากจุดไหน ซึ่งพฤติการณ์ดังกล่าวมีการ เทียบเคียงกับคดีอื่นที่มีการชุมนุมสถานที่เดียวกัน จุดเดียวกัน ซึ่งศาลอาญากรุงเทพฯใต้เคยมีคำพิพากษายกฟ้องข้อหาชุมนุมใกล้เขตพระราชฐานในระยะ ๑๕๐ เมตร ทั้งที่เป็นการชุมนุมจุดเดียวอีกทั้งในประเด็นเรื่องของการไม่แจ้งการชุมนุมต่อเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ ศาลแขวงจังหวัดเชียงราย เคยมีคำวินิจฉัยว่าไม่จำเป็นต้องขออนุญาตเพียงแต่ต้องแจ้งพนักงานสอบสวนให้ทราบเท่านั้น แต่หากมีการโพสต์ผ่านสื่อโซเชียลมีเดียก็ถือว่าเจ้าหน้าที่รับรู้แล้ว ซึ่งคดีนี้ตำรวจรับรู้ตั้งแต่วันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๖๒ แล้วว่ามีการชุมนุม เนื่องจากจำเลยมีการโพสต์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ และความคิดเห็นส่วนตัวในฐานะทนายคิดว่าจำเลยควรที่จะอุทธรณ์คดี เรื่องนี้ไม่ต้องการเอาชนะ แต่ต้องการความจริง ตนเคารพคำพิพากษาศาล แต่เคารพข้อเท็จจริงมากกว่า ส่วนอัยการจะอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานหนักกว่าเดิมหรือไม่ ต้องถามทางอัยการ ส่วนค่าปรับมีสองส่วน ส่วนแรกเป็นค่าปรับทางอาญา ๑ หมื่นบาท กับค่าปรับเป็นพินัยอีก ๑๐,๒๐๐ บาท ซึ่งเป็นโทษปรับคนละประเภท ส่วนนายพิธา กล่าวว่า จากการหารือกับจำเลยคนอื่น ว่าจะต้องยื่นอุทธรณ์คดีเพราะมีประเด็นข้อเท็จจริงเรื่องของระยะของการชุมนุม ใกล้เขตพระราชฐาน ว่าอาจจะมีความคลาดเคลื่อนของ ๑๕๐ เมตรว่าวัดจากจุดไหน เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานกับคดีอื่นๆ พร้อมระบุว่าการที่ศาลตัดสินในลักษณะนี้ไม่ทำให้พระก้าวไกลเสียเครดิตทางการเมือง เนื่องจากประชาชนมีความเข้าใจในข้อเท็จจริง ตนเองอยากโฟกัสเรื่องงาน เพราะสัปดาห์หน้าจะไปสภาอภิปรายเรื่องของปัญหาการประมง พร้อมยืนยันว่าการชุมนุมของกลุ่มตนเป็นการชุมนุมแบบสันติตามระบบประชาธิปไตย ใช้เวลาชุมนุมเพียง ๔๕ นาที ซึ่งสั้นกว่าระยะเวลาอ่านคำพิพากษาในวันนี้ ทางด้าน นายปิยบุตร คดีนี้มีหลายประเด็นในการยื่นอุทธรณ์ต่อ พร้อมเทียบเคียงกับคดีปิดสนามบิน มีผลกระทบจำนวนมาก และเป็นความผิดชัดเจนแต่ศาลพิจารณาสั่งปรับคนละ ๒๐,๐๐๐ บาท ส่วนคดีการชุมนุมคดีนี้เป็นการชุมนุมใช้ระยะเวลาไม่นาน หลังเลิกชุมนุมก็มีการช่วยกันเก็บขยะ ศาลใช้ระยะเวลาอ่านคำพิพากษานานกว่าการชุมนุมดังกล่าวด้วยซ้ำสุดท้าย ถูกจำคุกถึง ๔ เดือน มีค่าปรับรวม ๒๐,๒๐๐ บาท เป็นเหตุผลที่จะต้องอุทธรณ์คดีเพื่อให้ศาลสูงพิจารณา ส่วนเรื่องความไม่เหมาะสมของกฎหมายก็อยากจะฝากให้พรรคก้าวไกลไปพิจารณาแก้ไขในสภาต่อไป.
“พิธา-ปิยบุตร” ชี้บทลงโทษแฟลชม็อบ รุนแรงกว่ายึดสนามบิน ยัน ๘ จำเลยอุทธรณ์ต่อ
Related posts