Thursday, 19 December 2024

“จตุพร” ซัด นักโทษชั้น ๑๔ ไม่ยอมติดคุกสักวัน เป็นพฤติกรรมของอภิสิทธิ์ชน

“จตุพร” วิเคราะห์สถานการณ์หลัง ๑๘ กุมภาพันธ์นี้ เชื่อ นักโทษชั้น ๑๔ รพ.ตำรวจ ได้กลับบ้าน ซัด ไม่ยอมติดคุกสักวันเป็นพฤติกรรมอภิสิทธิ์ชน พร้อมหักดิบนายกฯ “เศรษฐา” ส่อรัฐบาลจอดไม่ต้องแจว หวั่น ประชาชนชนทนไม่ไหวนายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน วิเคราะห์สถานการณ์การเมืองผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ เมื่อช่วงค่ำของวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ ที่ผ่านมา ว่า ดีลกลับบ้านของอภิสิทธิ์นักโทษชั้น ๑๔ โรงพยาบาลตำรวจ จะได้รับการปฏิบัติตามพันธสัญญาที่ทำกันไว้หรือไม่ หลังวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์นี้ มีคำตอบจากผลกระทบของสถานการณ์จะเบี้ยวหรือรักษาคำมั่นนายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน พอแค่นี้ ไปต่อไม่ได้ พร้อมเผยต่อไปว่า การเริ่มต้นดีลที่ไม่ถูกต้องย่อมแสดงถึงใบเสร็จการสมคบคิดยึดอำนาจเมื่อ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ แต่มายื่นแสดงผลการกระทำเมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๖๖ เพราะถ้าไม่มีดีลทำข้อตกลงกันแล้ว คงมาลงเอยแบบกลับบ้านไม่ต้องติดคุกสักวันไม่ได้ อีกทั้งดีลแบบนี้เป็นการสร้างความเสื่อมเสียให้กระบวนการยุติธรรมหลายแวดวงมาก นอกจากนี้ ตำรวจต้องการนำตัวนักโทษเด็ดขาด นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ชั้น ๑๔ โรงพยาบาลตำรวจ ไปส่งอัยการสั่งฟ้องคดีมาตรา ๑๑๒ ยังต้องทำเรื่องถึงเรือนจำ แต่คำตอบกลับให้เข้าพบไม่ได้ ดังนั้น เมื่อแจ้งข้อกล่าวหาไม่ได้ วันที่ออกจากชั้น ๑๔ จะถูกตำรวจอายัดตัวทันที เพราะต้องปฏิบัติกับผู้ต้องหาเด็ดขาดเหมือนกันทุกคดี วันนี้ประชาชนสั่งสมในเรื่องความไม่ยุติธรรม ไม่ว่ากรณีถวายสัตย์ฯ ไม่ครบข้อความ เป็นนายกรัฐมนตรี ๘ ปีเป็นอีกไม่ได้ และการนิยามหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการสั่งสมความรู้สึกของคน พอมาถึงเรื่องพรรคก้าวไกล เจอข้อหาล้มล้างการปกครอง ยิ่งเพิ่มการสั่งสมอารมณ์ประชาชนมากขึ้นในเรื่องความไม่ยุติธรรม ดังนั้น การทำตัวไม่เสมอกันมาตั้งแต่ต้นจึงกลายเป็นปัญหา ถ้ามีความเป็นธรรมและปฏิบัติแบบเสมอกันแล้วประเทศยอมมีหลัก แต่ละฝ่ายต้องคิดกันว่าการดีลขณะนี้เป็นการสร้างปัญหาไต่บนเส้นลวดหรือไม่นายจตุพร กล่าวต่อไปว่า กรณีนักโทษชั้น ๑๔ โรงพยาบาลตำรวจ เมื่อวันหนึ่งถ้าประชนทนไม่ไหวแล้ว รัฐบาลคงจะเอาไม่อยู่ แม้จะใช้อำนาจจัดการทุกสิ่งอย่าง แต่ถ้าอำนาจเอาไม่อยู่อีก ลงท้ายจะนำพาไปสู่การฆ่ากันอีกหลายรอบ มีคนตาย บาดเจ็บอีกจำนวนมาก และคงไม่จบสิ้น “เมื่อสถานการณ์ละเอียดอ่อนแล้ว มีแต่การทำให้ถูกต้องจึงจะแก้ไขได้ เพื่อคนจะไม่มีความรู้สึกสั่งสมความไม่ยุติธรรม แต่พวกหนึ่งสร้างอภิสิทธิ์ชนอยู่ชั้น ๑๔ โดยไม่มีใครรู้สึกรู้สาอะไรเลย ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งถูกกระทำไม่ได้รับความยุติธรรม ยิ่งทำให้ประชาชนเกิดความรู้สึกขึ้นทันที สิ่งนี้คือปัญหาใหญ่และกระทบไปอย่างกว้างขวาง”ทั้งนี้ ใครที่เป็นองค์ประกอบการดีลทั้งหลาย คิดว่าจะคุมสถานการณ์อยู่จนถึงวันจะครบกำหนดการดีลหรือไม่ ถ้าดีลถูกหักจะลงท้ายด้วยการยึดอำนาจหรือไม่ เหมือนรัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๐ เปิดช่องให้พรรคไทยรักไทยเติบโตจนคุมไม่ได้ ตรวจสอบไม่ได้ เมื่อมารัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ คิดว่าจะคุมสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ได้ แต่ สว.กำลังพ้นวาระและพรรคการเมืองอีกฝ่ายเริ่มมีโอกาสเข้ามาคุมแทนที่หมด ซึ่งเป็นผลกระทบมาจากกรณีความยุติธรรมที่ไม่ยุติธรรมเสมอหน้าเท่าเทียมกันทางกฎหมายส่วนกรณีโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ๑๐,๐๐๐ บาท นายจตุพร มองว่า ถ้ารัฐบาลเพื่อไทยกล้าทำ ต้องลงมือทำ ไม่ต้องรอให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ส่งเอกสารผลการศึกษามาให้ตรวจสอบ เพราะรัฐบาลไม่ได้สั่งให้ศึกษา อีกทั้งไม่ได้ส่งหนังสือขอ ป.ป.ช.ส่งมาให้ ถ้าอยากเห็นผลการศึกษารัฐบาลต้องลงมือทำเลย แล้ว ป.ป.ช.จะส่งเอกสารมาให้เอง เพราะฉะนั้น การประกาศว่าไม่กู้แล้วมากู้ จึงเป็นความผิดมาตั้งแต่ต้น และโครงการเงินดิจิทัลยังเกิดทำให้หาประโยชน์ได้ทุกช่องทาง ยิ่งมีการดีลที่เป็นสัญญาไม่ต้องติดคุก และนายเศรษฐา เป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้ประเทศเสียหาย เพราะเสียโอกาสในการใช้งบประมาณ ๒๕๖๗ ที่ถูกดึงให้ล่าช้า ซึ่งสิ่งเหล่านี้อธิบายความถูกต้องไม่ได้ เพราะเป็นดีลที่ทำให้ประชาชนเดือดร้อนและประเทศเสียหายในการใช้จ่ายงบประมาณ ๒๕๖๗นายจตุพร กล่าวในช่วงท้ายว่า หลังจาก นายทักษิณ ได้กลับบ้านไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพราะการไม่ยอมติดคุกสักวันเป็นพฤติกรรมของอภิสิทธิ์ชน ทั้งที่อ้างถึงความสำนึกยอมรับการกระทำผิดในคดีทุจริตที่ผ่านมาแล้ว จึงเป็นห่วงข้าราชการที่มาเกี่ยวข้อง เพราะชีวิตถูกแขวนขาข้างหนึ่งเข้าคุกไว้แล้ว แล้วจะกลายเป็นคนสิ้นอนาคต ไม่เพียงเท่านั้นยังลากเอาครอบครัวมารับผลกระทบอีกด้วย“เมื่อตัวเองเป็นคนกระทำผิดเองทั้งนั้น ก็อย่าไปโทษใครเลยว่าถูกรังแก ถูกกระทำ เพราะตัวเองสารภาพยอมรับความผิดในคดีทุจริตคอร์รัปชันเอง หากเป็นนักสู้เพื่อประชาธิปไตยมาจริง จนถูกยึดอำนาจ ถ้าก้มหน้ารับโทษ ๘ ปีโดยไม่สะทกสะท้านแล้ว ประชาชนจะเข้าใจการยอมรับกระบวนการยุติธรรมและจะเห็นใจ”