Thursday, 19 December 2024

ป.ป.ช. เสนอแนะรัฐบาล ๘ ข้อ "ดิจิทัลวอลเล็ต" ป้องทุจริต-สร้างภาระการคลัง

“นิวัติไชย” เลขาธิการ ป.ป.ช. แถลงข้อเสนอแนะ ๘ ข้อถึงรัฐบาล โครงการการเติมเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ผ่าน Digital Wallet หนุนให้เฉพาะกลุ่มยากจน-เปราะบาง ย้ำ ต้องพิจารณาดำเนินโครงการอย่างระวัง ป้องทุจริต สร้างภาระการคลังระยะยาว ฝาก กกต. ดูนโยบายตรงที่หาเสียงหรือไม่เมื่อเวลา ๑๔.๐๘ น. วันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แถลงข่าวความเห็นและข้อเสนอแนะของ ป.ป.ช. เพื่อป้องกันการทุจริต เกี่ยวกับนโยบายโครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล ๑๐,๐๐๐ บาท ของรัฐบาล ว่า ป.ป.ช. ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เนื่องจากมีผู้ร้องเข้ามาให้ ป.ป.ช. ดำเนินการตรวจสอบ ซึ่ง ป.ป.ช. มีหน้าที่และอำนาจตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ ในมาตรา ๓๒ ระบุว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีหน้าที่และอำนาจเสนอมาตรการ ความเห็น และข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี รัฐสภา ศาล องค์กรอิสระ หรือองค์กรอัยการในกาปรับปรุงการปฏิบัติราชการ หรือวางแผนงานโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ เพื่อป้องกันหรือปราบปรามการทุจริต การกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ซึ่งโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเป็นนโยบายที่เกี่ยวกับการใช้งบประมาณค่อนข้างสูง และอาจส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วน ที่อาจสร้างภาระทางการคลังในระยะยาวได้ ทั้งนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงได้มีมติแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อศึกษาและดำเนินการรับฟังความเห็นเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาลเกี่ยวกับกรณีการเติมเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ผ่าน Digital Wallet เพื่อศึกษารายละเอียด ผลกระทบ ความเสี่ยงต่อความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการตามนโยบายดังกล่าว โดยมีการศึกษาข้อมูล ข้อเท็จจริงจากเอกสารต่างๆ รวมทั้งการรับฟังความเห็นเกี่ยวกับนโยบายของทางรัฐบาล จากส่วนราชการ หน่วยงานอื่น ตลอดจนนักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง ซึ่งพบว่ามีประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณา ๔ ประเด็น ดังนี้๑. ความเสี่ยงต่อการทุจริต อาทิ ความเสี่ยงต่อการทุจริตเชิงนโยบาย ความเสี่ยงต่อการทุจริตจากกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับเงินจากโครงการ ๒. ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ กรณีการดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ในขณะที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะสมดุล จะต้องคำนึงถึงความคุ้มค่าและความจำเป็น ตลอดจนผลกระทบ และภาระทางการเงินการคลังในอนาคต และในกรณีที่มีความจำเป็นต้องดำเนินนโยบายที่มีวัตถุประสงค์ในการช่วยเหลือประชาชนภายใต้สภาวะเศรษฐกิจที่อาจจะยังไม่เข้าขั้นวิกฤติ ควรมีการจัดลำดับความสำคัญ รวมถึงพิจารณากลุ่มเป้าหมายที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างแท้จริง อาทิ กลุ่มที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน จึงอาจเป็นทางเลือกซึ่งจะไม่ส่งผลต่อการคลัง โดยเฉพาะดอกเบี้ยและสัดส่วนของหนี้สาธารณะได้มากกว่า๓. ความเสี่ยงด้านกฎหมาย การดำเนินโครงการภายใต้แนวนโยบายดังกล่าว รัฐบาลควรตระหนักและใช้ความระมัดระวังอย่างเคร่งครัดและรอบคอบ ภายใต้บทบัญญัติของกฎหมายที่ได้ให้อำนาจไว้ รวมทั้งแนวปฏิบัติที่ชัดเจน โปร่งใส ปราศจากการทุจริตและประพฤติมิชอบ อาทิ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาญาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐, พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑, พระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. ๒๔๙๑ และที่แก้ไขเพิ่มเติม, พระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. ๒๕๐๑ ตลอดจนกฎหมาย คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และระเบียบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง๔. ประเด็นอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) และการกำหนดนโยบายของพรรคการเมือง ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ ๕ ก.พ. ๒๕๖๗ พิจารณาแล้วเห็นว่า ควรมีข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาลการเติมเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ต่อรัฐบาล เพื่อพิจารณาตามควรแก่กรณีในการป้องกันไม่ให้เกิดการทุจริต หรือเกิดความเสียหายต่อประโยชน์ของรัฐหรือประชาชน โดยมีข้อเสนอแนะ ๘ ข้อtt ttป.ป.ช. เสนอแนะดิจิทัลวอลเล็ต ๘ ข้อ๑. รัฐบาลควรศึกษา วิเคราะห์ การดำเนินโครงการตามนโยบายฯ รวมทั้งชี้แจงความชัดเจนอย่างเป็นรูปธรรม ว่าผู้ได้รับประโยชน์จากโครงการ จะไม่ตกแก่พรรคการเมือง นักการเมือง หรือเป็นการเอื้อประโยชน์แก่บุคคลรายใดรายหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีศักยภาพมากกว่าผู้ประกอบการรายย่อย ซึ่งเป็นการดำเนินนโยบายที่อาจเข้าข่ายการทุจริตเชิงนโยบาย รวมทั้งประชาชนที่เข้าร่วมโครงการเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะได้รับประโยชน์จากการดำเนินโครงการของรัฐบาลอย่างแท้จริง เช่น เป็นผู้ที่มีรายได้น้อย หรือกลุ่มเปราะบาง พร้อมกับต้องมีขั้นตอนและวิธีการที่เป็นรูปธรรมชัดเจนเพื่อให้สามารถกระจายการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม๒. การหาเสียงของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๖ และพรรคเพื่อไทยได้จัดตั้งรัฐบาล ได้มีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๖๖ เกี่ยวกับโครงการดังกล่าวนั้นมีความแตกต่างกัน สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ควรดำเนินการตรวจสอบว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๖๐ หรือไม่ มาประกอบการพิจารณาด้วย มิฉะนั้น จะเป็นบรรทัดฐานสำหรับพรรคการเมืองสามารถหาเสียงไว้อย่างไร เมื่อได้รับเลือกตั้งแล้วไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามที่ได้หาเสียงไว้๓. การดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โครงการเติมเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ควรคำนึงถึงความคุ้มค่าและความจำเป็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตลอดจนผลกระทบ และภาระทางการเงินการคลังในอนาคต ภายใต้หลักธรรมาภิบาล ๔ ด้าน คือ ความโปร่งใส (Transparency) การถ่วงดุล (Checks and Balances) การรักษาความมั่นคงของระบบการคลัง (Fiscal Integrity) และความคล่องตัว (Flexibility) ซึ่งรัฐบาลพึงต้องใช้ความระมัดระวัง พิจารณาระหว่างผลดี ผลเสียที่จะต้องกู้เงินจำนวน ๕๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ในขณะที่ตัวทวีคูณทางการคลังมีเพียง ๐.๔ การกู้เงินจึงเป็นการสร้างภาระหนี้แก่รัฐบาลและประชาชนในระยะยาว ซึ่งจะต้องตั้งงบประมาณในการชำระหนี้จำนวนนี้เป็นระยะเวลา ๔-๕ ปี กระทบต่อตัวเลขการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐ๔. การดำเนินโครงการเติมเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ผ่าน Digital Wallet คณะรัฐมนตรี (ครม.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรพิจารณาประเด็นความเสี่ยงด้านกฎหมายอย่างรอบคอบ ประกอบด้วย รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช ๒๕๖๐ (มาตรา ๑๗๒) พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ (มาตรา ๕๓) พระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. ๒๔๙๑ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (มาตรา ๔ มาตรา ๕ และมาตรา ๖ พระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. ๒๕๐๑ ตลอดจนกฎหมาย คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ และระเบียบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินโครงการเกิดประสิทธิภาพสูงสุด และเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย๕. ครม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรมีการประเมินความเสี่ยงในการดำเนินโครงการเติมเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ผ่าน Digital Wallet อย่างรอบด้าน โดยกำหนดแนวทางหรือมาตรการในการบริหารความเสี่ยงและการป้องกันการทุจริต ตลอดจนมีกระบวนการในการตรวจสอบทั้งก่อน ระหว่าง และหลังจากการดำเนินโครงการ ซึ่งอาจพิจารณานำข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เรื่อง การบูรณาการป้องกันการทุจริตของโครงการภาครัฐ (โดยการติดตามประเมินผลการดำเนินงาน) ซึ่ง ครม. มีมติเห็นชอบในหลักการ เมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ มาประยุกต์ใช้ เพื่อให้โครงการเติมเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ผ่าน Digital Wallet สามารถดำเนินการได้อย่างโปร่งใสตรวจสอบได้ และเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน และประเทศชาติอย่างแท้จริง๖. ในการนำเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) มาใช้กับโครงการเติมเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ผ่าน Digital Wallet ครม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรพิจารณาถึงความจำเป็นและความเหมาะสม ตลอดจนระยะเวลาและงบประมาณที่ต้องใช้ในการพัฒนาระบบ เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และระยะเวลาในการดำเนินโครงการเติมเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ผ่าน Digital Wallet ซึ่งเป็นการดำเนินโครงการแจกเงินเพียงครั้งเดียว โดยให้ใช้จ่ายภายใน ๖ เดือน๗. จากข้อมูลภาวะเศรษฐกิจของหน่วยงานต่างๆ ที่ได้จากการศึกษา และตัวทวีคูณทางการคลัง รวมถึงตัวบ่งชี้ภาวะวิกฤติที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้รวบรวมและประมวลข้อมูลจากงานศึกษาของธนาคารโลกและ IMF มีความเห็นตรงกันว่า ในช่วงเวลาที่ศึกษาอัตราความเจริญเติบโตของประเทศไทยยังไม่ถึงขั้นประสบภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ เพียงแต่ชะลอตัวเท่านั้น ดังนั้น ในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน รัฐบาลควรพิจารณาและให้ความสำคัญต่อโครงสร้างทางเศรษฐกิจ เช่น การกระตุ้นการบริโภคภาคเอกชน การกระตุ้นการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ การเพิ่มทักษะให้แก่แรงงาน เป็นต้น ในกรณีที่รัฐบาลต้องดำเนินนโยบายที่มีวัตถุประสงค์ในการช่วยเหลือประชาชนภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่เข้าขั้นวิกฤติ ควรพิจารณากลุ่มประชาชนเป้าหมายที่เปราะบางที่สุด ซึ่งต้องการความช่วยเหลืออย่างแท้จริง ภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ และพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ อาทิ กลุ่มที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน๘. หากรัฐบาลมีความจำเป็นต้องการช่วยเหลือประชาชน รัฐบาลควรช่วยเหลือกลุ่มประชาชนที่มีฐานะยากจน ที่เปราะบาง ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เท่านั้น โดยแจกจากแหล่งเงินงบประมาณปกติ มิใช่เงินกู้ตามพระราชบัญญัติเงินกู้ และจ่ายในรูปเงินบาทปกติในอัตราที่เหมาะสม เพื่อพยุงการดำรงชีวิตของกลุ่มประชาชนที่ยากจน โดยการกระจายจ่ายเงินเป็นงวดๆ หลายงวดผ่านระบบแอปพลิเคชันเป๋าตังที่มีประสิทธิภาพ และมีฐานข้อมูลครบสามารถทำได้รวดเร็ว การดำเนินการกรณีนี้ หากใช้แหล่งเงินงบประมาณปกติ มิใช่จากการกู้เงินตามพระราชบัญญัติเงินกู้ จะลดความเสี่ยงต่อการขัดรัฐธรรมนูญ ขัดพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลัง พ.ศ. ๒๕๖๑ และขัดพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. ๒๕๐๑ ประการสำคัญ ไม่สร้างภาระหนี้สาธารณะของประเทศในระยะยาวเลขาธิการ ป.ป.ช. ยังระบุด้วยว่า ข้อเสนอแนะดังกล่าวข้างต้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะส่งถึงรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำข้อเสนอแนะไปช่วยพิจารณาประกอบการดำเนินโครงการเติมเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ตต่อไป.