มันดูแปลกๆยังไงชอบกลกับความเห็นต่างของรัฐบาลกับแบงก์ชาติและหน่วยงานอื่นๆหรือสำนักวิเคราะห์ด้านเศรษฐกิจต่างๆเนื่องจากมองกันคนละมุมและให้ความเห็นที่ต่างกันทั้งๆที่เป็นเรื่องเดียวกันอย่างเรื่องเงินเฟ้อที่ติดลบ ๔ เดือนติดต่อกัน“พูนพงษ์ นัยนาภากรณ์” ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) บอกว่ายังไม่เข้าภาวะเงินฝืดเพราะดูจากเงินเฟ้อพื้นฐานยังเป็นบวกเป็นการลดจากราคาอาหาร พลังงานและมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพจากภาครัฐไตรมาสแรกปีนี้จะยังติดลบได้อีก ทั้งปีเงินเฟ้อจะสลับขึ้นและลงได้ตลอดแต่รัฐบาลบอกว่านี่แหละคือปัญหาที่แบงก์ชาติจะต้องลดดอกเบี้ย เพราะถ้าปล่อยไปอย่างนี้อาจจะเกิดเหตุ “ต้มยำกุ้ง” ได้ เพราะไม่รู้ล่วงหน้ามาก่อนและชี้เป้าตรงไปที่แบงก์ชาติจะต้องลดดอกเบี้ยให้เหลือ ๒.๒๕% จากปัจจุบัน ๒.๕๐%พูดง่ายๆว่าปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะแบงก์ชาติที่ควบคุมการเงินไม่ประสานและไปทางเดียวกับกระทรวงการคลังที่ดูแลด้านการคลังของประเทศดังนั้น กนง.จะต้องลดดอกเบี้ยแต่แบงก์พาณิชย์ต่างๆคาดกันว่า กนง.จะยังคงดอกเบี้ยเท่าเดิมต่อไปเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การเงินทั่วโลก โดยเฉพาะเฟดที่ยังไม่มีการลดดอกเบี้ยแต่อย่างใด คาดว่าจะลดดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีหลังหากประมวลภาพความเห็นต่างที่เกิดขึ้นนั้นล้วนเชื่อมโยงกับนโยบาย “ดิจิทัลวอลเล็ต” อย่างแน่นอนเพราะแบงก์ชาติถือเป็นหัวหมู่ที่คัดค้านนโยบายนี้ที่เห็นว่าไม่คุ้มค่าและทำให้ต้องเป็นหนี้สินจำนวนมากถึง ๕ แสนล้านบาทความจริงอย่างหนึ่งเรื่อง “ดิจิทัลวอลเล็ต” นั้นรัฐบาลที่ผลักดันอย่างเต็มสูบมาระยะหนึ่งแต่เนื่องจากมีเสียงคัดค้านในวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ จนมาหยุดตรงที่รัฐบาลอ้างว่ารอคำชี้แนะของ ป.ป.ช.ก่อนจึงยังไม่เดินหน้าต่อจนมาถึงขณะนี้ในภาวะที่สถานการณ์การเมืองเปลี่ยนไปเมื่อ “ก้าวไกล” ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามีพฤติกรรมล้มล้างการปกครองส่งผลให้มีโอกาสที่จะถูก “ยุบพรรค” ในอีกไม่นานนี้นั่นย่อมทำให้การเมืองเปลี่ยนไปโดยปริยาย เพราะฝ่ายค้านจะอ่อนกำลังลงอย่างแน่นอนนี่จึงเป็นโอกาสที่ดีของรัฐบาล “เพื่อไทย” ที่จะเดินหน้าสร้างผลงานเพิ่มคะแนนนิยมโดยเฉพาะนโยบายที่เคยหาเสียงไว้“ดิจิทัลวอลเล็ต” นโยบายสำคัญที่มวลชนของพรรคกำลังรอว่าเมื่อใดจะได้สักที จะแจกหรือไม่ หัวละ ๑๐,๐๐๐ บาทเป็นเรื่องที่ทำให้นายกรัฐมนตรี “เศรษฐา ทวีสิน” และแกนนำ “เพื่อไทย” อึดอัดใจเป็นอย่างยิ่งเพราะเดินหน้าก็ไม่ได้ถอยหลังก็ไม่ได้เก็บซุกเรื่องนี้เอาไว้เพราะไม่รู้จะทำอย่างไรดีจนกระทั่งเงื่อนไขการเมืองเปิดช่องให้ จึงหยิบขึ้นมาปัดฝุ่นเดินหน้าต่อแบบไม่กลัวน้ำร้อนอีกแล้วจะอ้าง “เศรษฐกิจวิกฤติ” ตรงๆก็ไม่มีใครเชื่อก็เลยพยายามหาเหตุผลใหม่เอาเรื่อง “ต้มยำกุ้ง” ในอดีตขึ้นมาข่มขู่ ถ้าเป็นอย่างนั้นแบงก์ชาติจะต้องรับผิดชอบด้วยก็เลยทำให้สังคมไทยเกิดปัญหาสับสนว่าสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างไรกันแน่ มันดีหรือเลวอย่างไรทั้งๆที่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเพราะรัฐบาลทำเองทั้งนั้น!“สายล่อฟ้า”คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม
Related posts