“เครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชน” ยื่นหนังสือถึง “อสส.” ให้ยุติการดำเนินคดีการเมือง ม.๑๑๒-ม.๑๑๖ อ้าง มีมาตั้งแต่เริ่มการชุมนุม ของ “เยาวชนปลดแอก” ปี ๒๕๖๓-๒๕๖๗ที่สำนักงานอัยการสูงสุด วันที่ ๙ ก.พ. กลุ่มเครือข่ายเเรงงานเพื่อสิทธิประชาชน ประมาณ ๒๐ คน ได้เดินทางมายื่นหนังสือถึงอัยการสูงสุด ขอให้ยุติการดำเนินคดีทางการเมือง มาตรา ๑๑๒ เนื่องจากเห็นว่า การดำเนินคดีไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะtt ttจากนั้นได้อ่านเเถลงการณ์เป็นเนื้อหาในหนังสือความว่า เรียน อัยการสูงสุด จากการติดตามของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ตั้งแต่เริ่มการชุมนุมของ “เยาวชนปลดแอก” เมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๓ จนถึงวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๗ มีประชาชนที่ถูกดำเนินคดีจากสถานการณ์ชุมนุมและการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ไปแล้วอย่างน้อย ๑,๙๔๗ คน ในจำนวน ๑,๒๖๘ คดีในจำนวนนี้ เป็นเด็กและเยาวชนที่อายุต่ำกว่า ๑๘ ปี จำนวน ๒๘๖ ราย ใน ๒๑๗ คดี สำหรับสถิติการดำเนินคดี แยกตามข้อกล่าวหาสำคัญ ได้แก่๑. ข้อหา “หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ มีผู้ถูกกล่าวหาอย่างน้อย๒๖๓ คน ในจำนวน ๒๘๘ คดี๒. ข้อหา “ยุยงปลุกปั่น” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๖ มีผู้ถูกกล่าวหาอย่างน้อย ๑๔๗ คนในจำนวน ๔๕ คดี๓. ข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มีผู้ถูกกล่าวหาอย่างน้อย ๑,๔๖๙ คน ในจำนวน ๖๖๔ คดี (นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ๒๕๖๓ ที่เริ่มมีการดำเนินคดีข้อหานี้ต่อผู้ชุมนุมและทำกิจกรรมทางการเมือง)๔. ข้อหาตาม พระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ มีผู้ถูกกล่าวหาอย่างน้อย ๑๗๙ คน ในจำนวน ๙๑ คดี๕. ข้อหาตาม พระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ฯ มีผู้ถูกกล่าวหาอย่างน้อย ๑๙๗ คน ในจำนวน ๒๑๕ คดี๖. ข้อหาละเมิดอำนาจศาลอย่างน้อย ๔๓ คน ใน ๒๕ คดี และคดีดูหมิ่นศาลอย่างน้อย ๓๔ คน ใน ๑๐ คดีจากจำนวนคดี ๑,๒๖๘ คดีดังกล่าว มีจำนวน ๔๙๔ คดี ที่สิ้นสุดไปแล้ว เท่ากับยังมีคดีอีกกว่า ๗๗๔ คดีที่ยังดำเนินอยู่ในกระบวนการชั้นต่างๆ ซึ่งอยู่ในกระบวนการทำงานของพนักงานอัยการเครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชน ซึ่งเป็นการรวมตัวของกลุ่มบุคคลเพื่อรณรงค์สิทธิแรงงานสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย เห็นว่าการดำเนินคดีกว่า ๗๗๔ คดีซึ่งยังไม่ถึงที่สุดนั้นท่านในฐานะพนักงานอัยการมีบทบาทอย่างยิ่งต่อการดำเนินคดีและการรักษาความเป็นธรรม ทั้งนี้เนื่องจาก๑. คดีการเมืองกว่า ๗๗๔ คดีนั้น ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในสมัยของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งสืบทอดอำนาจมาจากรัฐบาลเผด็จการ และเกิดจากมูลเหตุความเห็นที่แตกต่างทางการเมืองการแสดงออกทางการเมืองและความขัดแย้งทางการเมือง ไม่ใช่คดีที่เกิดจากความตั้งใจเป็นอาชญากร ต้องการก่อเหตุร้ายหรือความไม่ปลอดภัยขึ้นในสังคม ในขณะที่ปัจจุบันพรรคแกนนำรัฐบาลได้เปลี่ยนผ่านเป็นพรรคของประชาชน คดีความทางการเมืองซึ่งเกิดจากการชุมนุมทางการเมืองหรือการแสดงออกทางการเมือง ที่เกิดขึ้นในห้วงเวลาตั้งแต่ปี ๒๕๖๓ เป็นต้น จึงสมควรได้รับการแก้ไขผ่านกระบวนการยุติธรรม๒. คดี ๔๒๘ คดี จาก ๗๗๔ คดีนั้นเกิดขึ้นเป็นคดีผ่าฝืนพระราชกำหนดการบริหารในสถานการณ์ฉุกเฉิน เนื่องจากสถานการณ์โควิด-๑๙ ทำให้มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วราชอาณาจักร ตั้งแต่เดือนมีนาคม ๒๕๖๓ ซึ่งในห้วงเวลาดังกล่าวสถานการณ์โรคระบาดที่แพร่หลาย มีประชาชนเสียชีวิตจำนวนมาก การได้รับวัคซีนล่าช้า การควบคุมโรคโดยการปิดสถานที่ต่างๆ ซึ่งส่งผลต่อการทำมาหากิน เศรษฐกิจและสังคมของประชาชน ทำให้ประชาชนออกมาชุมนุมจำนวนมาก เพราะการชุมนุมเป็นเพียงไม่กี่หนทางที่จะสื่อสารต่อผู้มีอำนาจปกครองบ้านเมือง และเนื่องจากมีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทำให้ประชาชนถูกจำกัดเสรีภาพในการชุมนุม ณ ขณะนั้นและทำให้ถูกดำเนินคดี และถูกสลายการชุมนุม หากสังคมอยู่ในภาวะปกติ คดีดังกล่าวย่อมไม่เกิดขึ้น ในขณะที่ปัจจุบันสถานการณ์โรคระบาดได้ผ่อนคลายลงกลับคืนสู่สถานการณ์ปกติแล้ว แต่ประชาชนที่ออกมาเรียกร้องทางการเมืองกลับต้องแบกรับภาระทางคดีต่อไป ทำให้ต้องเสียทั้งเงินและเวลาในการต่อสู้คดี เช่นเดียวกับหน่วยงานของรัฐ ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ พนักงานอัยการ และศาลยุติธรรมที่ต้องเสียเวลาดำเนินคดีนับร้อยคดีโดยไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ๓. การดำเนินคดีทางการเมืองนั้นละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและเสรีภาพในการชุมนุมของประชาชนตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองข้อ ๑๙ และข้อ ๒๑ และ สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ และส่งผลต่อประชาธิปไตย ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อสังคม สังคมไทยจะพัฒนาได้ก็ด้วยการเคารพความเห็นที่แตกต่างและหลากหลาย มิใช่การใช้อำนาจดำเนินคดีต่อประชาชน๔. การดำเนินคดีต่อเยาวชนกว่า ๒๘๖ คน ที่แสดงออกทางการเมืองนั้นไม่เป็นผลดีต่อเยาวชนและสังคมโดยรวม เพราะเด็กนั้นย่อมมีสิทธิที่จะมีส่วนร่วม สิทธิที่จะได้รับการพัฒนา และสิทธิที่จะได้รับการปกป้องคุ้มครอง การดำเนินคดีต่อเยาวชนเพียงเพราะการแสดงออกทางการเมืองนั้นยังขัดต่อหลักการประโยชน์สูงสุดของเด็กและละเมิดต่ออนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก๕. เครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชนเห็นว่าพนักงานอัยการเข้ามามีบทบาทอย่างมีนัยสำคัญในการใช้อำนาจตามมาตรา ๒๑ พระราชบัญญัติองค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ. ๒๕๕๓ มีคำสั่งไม่ฟ้องคดีฝ่าฝืนพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินกว่า ๖๓ คดี ซึ่งเป็นการใช้อำนาจในเชิงบวกให้ความเป็นธรรมต่อประชาชน และเป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม เครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชนจึงขอให้ท่านพิจารณาสั่งไม่ฟ้อง ไม่ยื่นคำร้อง ไม่อุทธรณ์ ไม่ฎีกา ถอนฟ้อง ถอนคำร้อง ถอนอุทธรณ์ และถอนฎีกา คดีซึ่งเกิดจากการชุมนุมทางการเมืองหรือการแสดงออกทางการเมือง ๗๗๔ คดีที่ยังไม่ถึงที่สุด เนื่องจากการดำเนินคดีทางการเมืองต่อไปนั้นไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน ตามมาตรา ๒๑ พระราชบัญญัติองค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ. ๒๕๕๓tt ttทั้งนี้ นอกจากการไม่ดำเนินคดีทางการเมืองจะทำให้หน่วยงานรัฐมีเวลาดูแลประชาชนได้เพิ่มมากขึ้น ยังมีบทบาทช่วยให้คลี่คลายความขัดแย้งในทางการเมืองซึ่งดำรงอยู่มาอย่างยาวนาน การคืนความปกติให้แก่ประชาชนนั้นเป็นประโยชน์ต่อสาธารณชนอย่างแท้จริงด้วยความเคารพต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนลงชื่อเเถลงการณ์โดย ธนพร วิจันทร์ เครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชนโดยมีตัวเเทนจากสำนักงานอัยการสูงสุดมารับหนังสือเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป.
เครือข่ายแรงงานฯ ยื่น อสส. ขอให้ยุติการดำเนินคดีทางการเมือง "ม.๑๑๒-ม.๑๑๖"
Related posts