Thursday, 19 December 2024

ผลซูเปอร์โพล ชี้ การเงินในกระเป๋าวิกฤติ คนกังวลดิจิทัลวอลเล็ตไม่ปลอดภัย

ผลสำรวจซูเปอร์โพล ๑,๑๔๖ ตัวอย่าง ๕๐.๕% ชี้ การเงินกระเป๋าตัวเองวิกฤติ ขณะที่ ๔๙.๕% บอก ไม่อยู่ในขั้นวิกฤติ แต่กังวลดิจิทัลวอลเล็ต ไม่ปลอดภัย เสี่ยงทุจริต สวมสิทธิ์ เผย คะแนนหนุนเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลลดลงวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ สำนักวิจัยซูเปอร์โพล เปิดเผยผลสำรวจความเห็นประชาชน เรื่อง “จำนวนคนไทยในวิกฤติการเงิน” จากประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น ๑,๑๔๖ ราย โดยดำเนินโครงการระหว่างวันที่ ๗-๑๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๗ ที่ผ่านมา เมื่อถามจากการประมาณการทางสถิติกลุ่มประชากรคนไทย อายุ ๑๖-๘๕ ปี มีอยู่จำนวนทั้งสิ้น ๕๓,๔๑๗,๔๘๐ คน พบว่า ร้อยละ ๕๐.๕ ระบุ การเงินในกระเป๋าของตนเองอยู่ในขั้นวิกฤติ ซึ่งเป็นคนไทย จำนวน ๒๖,๙๗๕,๘๒๗ คน ขณะที่ร้อยละ ๔๙.๕ ระบุ ไม่อยู่ในขั้นวิกฤติขณะที่เมื่อแบ่งออกจากภูมิภาค ที่ระบุว่าการเงินในกระเป๋าของตนเองอยู่ในขั้นวิกฤติ พบว่า คนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) ส่วนใหญ่ หรือร้อยละ ๗๗.๙ รองลงมา คือ คนในภาคใต้ ร้อยละ ๖๖.๓ คนในภาคกลาง ร้อยละ ๔๗.๒ คนในภาคเหนือ ร้อยละ ๓๕.๘ และคนในกรุงเทพมหานคร ร้อยละ ๓๐.๘ส่วนประเด็นข้อกังวล ถ้ามีการแจกเงินดิจิทัลจริง พบว่า ร้อยละ ๓๒.๗ กังวลต่อความไม่ปลอดภัยทางไซเบอร์ พวกมิจฉาชีพ ออนไลน์ รวมถึงมีความกังวลภาวะเงินเฟ้อ ข้าวของราคาแพงร้อยละ ๓๐.๗ กังวลการทุจริตเชิงนโยบายร้อยละ ๒๔.๒ กังวลการสวมสิทธิ์ร้อยละ ๒๒.๖ กังวลความมั่นคงทางเศรษฐกิจได้รับความเสียหายร้อยละ ๒๑.๗ กังวลประชาชนเสียวินัยการเงิน ขาดความรับผิดชอบร้อยละ ๑๙.๒ กังวลประชาชนผู้ห่างไกลเทคโนโลยี เข้าไม่ถึงการแจกเงินนี้ร้อยละ ๑๔.๙ กังวลประเทศสูญเสียโอกาสพัฒนาที่ยั่งยืน ตามลำดับถ้าวันนี้เลือกตั้ง สนับสนุนหรือไม่สนับสนุนเลือกพรรคในรัฐบาล โดยเปรียบเทียบระหว่างเดือนมกราคมกับเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ พบว่า กลุ่มสนับสนุนพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาล ลดลงจากร้อยละ ๔๐.๕ ในเดือนมกราคม ไปอยู่ที่ร้อยละ ๓๑.๒กลุ่มไม่สนับสนุน ก็ลดลงเช่นกัน จากร้อยละ ๓๙.๓ ลงมาอยู่ที่ร้อยละ ๑๕.๔กลุ่มคนที่ขออยู่ตรงกลาง ไม่ฝักใฝ่ กลับเพิ่มขึ้นจากร้อยละ ๒๐.๒ ในเดือนมกราคม มาอยู่ที่ร้อยละ ๕๓.๔ tt ttสำนักวิจัยซูเปอร์โพล ระบุในช่วงท้ายว่า ผลโพลนี้เมื่อพิจารณาการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายของประชาชนคนไทยแล้ว ยิ่งน่าเป็นห่วงถ้าหากปล่อยให้สถานการณ์บ้านเมือง ความแตกแยกรุนแรงบานปลายขึ้น วิกฤติเศรษฐกิจทั้งระดับฐานรากและภาพรวมของประเทศอาจจะกลายเป็นโจทย์ท้าทายใหญ่โตยิ่งขึ้นไปอีก ทางออกคือการตัดไฟแต่ต้นลม และการผูกโยงทำไปพร้อมๆ กันระหว่างมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ความมั่นคงแห่งรัฐ และการลดทอนความเป็นตัวตนของกลุ่มสร้างความวุ่นวายต่างๆ ที่จะก่อเกิดความแตกแยกของคนในชาติ เป็นเรื่องที่น่าพิจารณาเร่งด่วนเวลานี้.