Friday, 8 November 2024

เกียรติภูมิไทยในเวทีโลก

ต้องยอมรับว่านายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน เป็นผู้นำประเทศที่ขยันเดินทางที่สุด ทั้งเดินทางภายในประเทศ เพื่อพบปะและดูแลสารทุกข์สุกดิบของประชาชนในทุกภาค และยังเดินทางไปต่างประเทศมากที่สุด แค่ ๕ เดือนเศษไปมาแล้วเกือบทั่วโลก เพื่อป่าวประกาศให้นานาประเทศรู้ว่าไทยเปิดประเทศแล้วเพื่อต้อนรับการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวจากนานาประเทศ หลังจากที่ดูเสมือนหนึ่งว่าไทยปิดประเทศนานนับสิบปีในช่วงรัฐบาล คสช. และรัฐบาลที่ต่อเนื่อง เนื่องจากในช่วงแรกเป็นเผด็จการ ถูกนานาประเทศประชาธิปไตยรังเกียจ จนนายกรัฐมนตรีไทยในขณะนั้น ถึงกับบ่นว่าอยากปิดประเทศแท้ที่จริง ไทยไม่ได้ปิดประเทศ หลังรัฐประหาร ๒๕๕๗ แต่ถูกโลกประชาธิปไตย รังเกียจ เช่นเดียวกับพม่าในยุคเผด็จการเนวิน หลังรัฐประหาร ๒๕๐๕ ถูกโลกตะวันตกควํ่าบาตร ไม่ยอมคบ ไม่ยอมค้าขาย ไม่มาลงทุน ทำให้เศรษฐกิจพม่าทรุด ประชาชน ไม่มีงานทำ คนนับล้านๆต้องหนีเข้ามาทำงานในไทยส่วนประเทศไทยในปัจจุบัน นอกจากจะมีรัฐบาลที่มาจากเลือกตั้งที่นานาชาติยอมรับว่าเป็นประชาธิปไตยแล้ว ในด้านภูมิรัฐศาสตร์ ไทยยังตั้งอยู่ตรงศูนย์กลางของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากจะเหมาะกับการท่องเที่ยวและการลงทุนแล้ว ยังเหมาะที่จะเป็นผู้ ส่งเสริมประชาธิปไตย และสิทธิเสรีภาพมีรายงานข่าวว่า ประเทศไทยจะสมัครเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีศักดิ์ศรีที่จะส่งเสริมเกียรติภูมิของประเทศ เป็นที่ยอมรับทั่วโลก ถึงแม้การเจรจาทำความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับนานาชาติ จะตกลงกันได้เพียงศรีลังกา ที่อยู่ในภาวะวิกฤติเศรษฐกิจแต่ในทุกประเทศหรือทุกเวที ที่นายกฯเศรษฐามีโอกาสไปเยือน มักจะถือโอกาสจับมือกับระดับผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของโลก เช่น ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดีปูตินของรัสเซีย และประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน และถือโอกาสเชิญมาเยือนประเทศไทย ไม่ทราบว่ามีใครรับคำเชิญหรือยังแต่อย่างน้อยที่สุด ไทยเคยเป็นเจ้าภาพ จัดให้มีการพบกันระหว่างผู้แทนสหรัฐฯกับจีน และท่ามกลางสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน สงครามอิสราเอลกับกาซาขณะนี้ ไทยต้องรักษาภาวะสมดุลของความสัมพันธ์กับบรรดามหาประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯกับจีนที่เคยมีสัมพันธ์ใกล้ชิดทั้งสองประเทศ.คลิกอ่านคอลัมน์ “บทบรรณาธิการ” เพิ่มเติม