Thursday, 19 December 2024

“ชัยธวัช” ปลุกก้าวไกล วันนี้มาไกลเกินกว่าจะแพ้ งดปะทะคารมคนเห็นต่าง

“ชัยธวัช ตุลาธน” ปลุกสมาชิกพรรคก้าวไกล ช่วยกันดึงสติสังคมไทย ทำงานทางความคิดเพื่อเปลี่ยนใจคนเห็นต่างให้มากที่สุด ไม่เน้นปะทะคารม แต่รับฟังให้มากขึ้น ย้ำก้าวไกลไม่ใช่ภัยคุกคามสังคมไทย บอกวันนี้เดินมาไกลเกินกว่าจะแพ้วันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ พรรคก้าวไกล จัดกิจกรรมสมาชิกสัมพันธ์ ร่วมพบปะสมาชิก และผู้สนับสนุนพรรคในเขตบางแค และใกล้เคียง โดยมีแกนนำและ สส.พรรคก้าวไกลหลายคนร่วมกิจกรรม ทั้ง นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล, นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล, นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ, นายพริษฐ์ วัชรสินธุ โฆษกพรรคก้าวไกล, นายวรภพ วิริยะโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ เป็นต้นนายชัยธวัช กล่าวกับสมาชิก และผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกล ที่มาร่วมกิจกรรมในวันนี้ ถึงสถานการณ์ที่พรรคก้าวไกลกำลังเผชิญ และการเดินต่อไปข้างหน้าของพรรคก้าวไกลในอนาคต โดยระบุว่า ในสถานการณ์ปัจจุบัน พรรคก้าวไกล กำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายสองประการ ประการแรก คือ สภาวะ “นิติสงคราม และตุลาการภิวัฒน์” ที่พรรคก้าวไกลต้องตั้งหลักในการต่อสู้คดีเพื่อปกป้องพรรค และผู้แทนราษฎรของพรรค โดยยืนยันว่าการดำเนินคดีถึงขั้นยุบพรรค หรือตัดสิทธิผู้แทนราษฎรทั้ง ๔๔ คน เป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุผล ไม่ถูกต้อง และไม่ได้สัดส่วนประการที่สอง คือ สถานการณ์ที่มีความพยายามสร้างภาพให้พรรคก้าวไกลเป็น “ปิศาจตนใหม่” ของสังคมไทย เป็นภัยคุกคามต่อสังคมไทยที่หลายคนหวงแหน ซึ่งยิ่งปรากฏชัดเมื่อมีกรณีขบวนเสด็จฯ และมีความพยายามปั่นเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อชี้เป้ามาที่พรรคก้าวไกล ทั้งที่โดยข้อเท็จจริงไม่มีความเกี่ยวข้องกัน สมาชิกพรรคอาจมีความกังวลใจว่าจะเดินหน้าต่อไปอย่างไรดีในสถานการณ์เช่นนี้ สำหรับตนแล้วสิ่งที่เราทำได้คือต้องช่วยกัน “ดึงสติ” สังคม ตั้งหลักให้ดีว่าในช่วงสถานการณ์ที่อ่อนไหวเช่นนี้ ไม่ว่าฝ่ายใดก็ไม่ควรสร้างเงื่อนไขด้วยการผลักให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสุดขั้วไปมากกว่านี้ เราต้องช่วยกันดึงสติให้ทุกฝ่ายเข้าใจสถานการณ์ที่ถูกต้อง เข้าใจวิธีการคลี่คลายปัญหาทางการเมือง ตามวิถีทางที่ทำให้ต่างฝ่ายที่มีความเห็นต่างกันสามารถอยู่ร่วมกันได้ต้องยอมรับว่าไม่ว่าจะเป็นสมาชิกพรรค ผู้สนับสนุนพรรค หรือผู้ลงคะแนนให้พรรคหลายคน เมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็พร้อมที่จะปะทะคารม แต่หลายเรื่องก็น่าเป็นห่วงว่าจะเป็นส่วนในการเติมน้ำมันเข้ากองไฟโดยไม่รู้ตัว จึงต้องย้ำว่าพรรคก้าวไกลมีเป้าหมายในการทำงานการเมืองเพื่อเอาชนะทางความคิด ด้วยความเชื่อว่าสังคมการเมืองเปลี่ยนได้ ความคิดของสังคมก็มีพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้น เมื่อพบกับความเห็นที่แตกต่างจากเรา การพยายามทำความเข้าใจกับพวกเขาให้เข้มข้นมากขึ้น ย่อมดีกว่าผลักให้เขามีช่องว่างกับเรา การทำให้พวกเขาพร้อมเปิดใจรับฟังเรามีความสำคัญอย่างยิ่ง การทำงานทางความคิดที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงสังคมได้ ต้องทำให้คนที่ไม่เข้าใจหรือคิดไม่เหมือนเราเข้าใจเรามากขึ้น ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปใช้วิธีการผลักคนออกไป นายชัยธวัช ยังระบุว่า ในสถานการณ์เช่นนี้พวกเราก็ต้องพิสูจน์ตัวเองด้วยการทำงาน ทั้งต่อประชาชนที่สนับสนุนและคาดหวังต่อพรรคก้าวไกลอยู่แล้ว และประชาชนที่ยังไม่เข้าใจเรา เราต้องพิสูจน์ด้วยการทำงานที่เป็นจริง ทำให้เห็นว่าเราเป็นพรรคการเมืองที่ประชาชนตั้งความหวังไว้ได้ ทั้งในสถานการณ์เฉพาะหน้า และระยะยาว รวมถึงการสร้างพรรคให้เข้มแข็งจากฐานราก ทำให้เป็นพรรคการเมืองที่ทำงานตอบสนองสังคมได้มากขึ้น พร้อมมีความเข้มแข็งสำหรับทุกสถานการณ์“เราต้องใช้การเมืองแห่งความรักเพื่อการเปลี่ยนแปลง เข้าใจได้ว่าพวกเราต่างมีความคับแค้นใจ แต่เราต้องเชื่อจริงๆ ว่าต้องใช้การทำงานการเมืองด้วยความรัก และความปรารถนาดีพิสูจน์ให้คนเชื่อ ไม่ใช่การเมืองแห่งการทำลายล้าง การตอบโต้อาจได้ความสะใจ แต่ก็ยิ่งตกไปในเกมการเมืองแห่งการสร้างความเกลียดชังที่ดำเนินมากว่า ๒๐ ปีแล้ว ลดช่องว่าง เปลี่ยนใจคน ให้คนรับฟัง” นายชัยธวัช กล่าว นายชัยธวัช กล่าวต่อไปว่า เราพูดบ่อยเรื่องการทำงานทางความคิด พาสังคมไทยออกจากการเมืองแบ่งขั้วเหลือง-แดง ก็เพราะที่ผ่านมาประชาชนถูกแบ่งให้มาปะทะขัดแย้งกัน ซึ่งไม่ได้นำพาสังคมไทยไปข้างหน้า และมีคนจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่ได้รับประโยชน์จากเกมการเมืองแบบนี้ เวลามีคนมาบอกว่าพรรคก้าวไกลเป็นสลิ่มเฟสสอง ตนไม่รู้สึกว่าเป็นปัญหาอะไร เพราะการทำให้คนที่เคยเป็นสลิ่มหรือเสื้อเหลืองเปลี่ยนใจมายอมรับในระบอบประชาธิปไตยได้ ตนถือว่าเป็นความสำเร็จ แม้วันนี้พรรคก้าวไกลจะยังไม่สามารถเป็นรัฐบาลได้ แต่การเลือกตั้งปี ๒๕๖๖ ได้เปลี่ยนภูมิทัศน์การเมืองไทยไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว การเลือกตั้งครั้งหน้าไม่มีคำถามแล้วว่าก้าวไกลจะชนะการเลือกตั้งหรือไม่ มีแต่คำถามว่าก้าวไกลจะได้ ๒๐๐-๒๕๐ ที่นั่งหรือไม่ นี่คือต้นทุนทางการเมืองที่พวกเราไม่เคยมีมาก่อน แต่จะมีในการเลือกตั้งหลังจากนี้เป็นต้นไป ดังนั้นพวกเรามาไกลขนาดไหนแล้วในระยะเวลาเพียงแค่ ๕ ปี เรามาไกลเกินกว่าจะแพ้ และมาไกลเกินกว่าจะหวั่นไหวแล้ว ตรงกันข้าม คนที่ต้องหวั่นไหวคือผู้มีอำนาจที่อยากแช่แข็งสังคมไทยเอาไว้ หวาดกลัวกับการเปลี่ยนแปลงที่มาเร็วมาก จนพรรคก้าวไกลถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อการเมืองของอดีต และพยายามใช้นิติสงคราม หรือการปั่นว่าก้าวไกลเป็นปิศาจที่จะมาทำลายสังคมไทย เพื่อปกป้องพื้นที่การเมืองแบบเก่าที่หดแคบลงเรื่อยๆ เอาไว้ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นคำวินิจฉัยศาล หรือนิติสงครามต่างๆ ล้วนเป็นภาพสะท้อนความหวั่นไหวของพวกเขา คนที่หวั่นไหวจึงไม่ใช่เราจากนี้ขอเพียงพวกเราทั้งหมดจับมือมัดกันให้แน่น เชื่อมั่นในความเป็นไปได้ในการเปลี่ยนแปลง ทำพรรคของพวกเราให้เข้มแข็ง พร้อมรับกับทุกสถานการณ์ ทำงานทางความคิดให้คนคิดเหมือนเรามากขึ้นเรื่อยๆ ลดช่องว่างทางความคิด ทำให้พวกเขาพร้อมเปิดใจรับฟัง พิสูจน์ตัวเอง และความปรารถนาดีของพวกเราต่อบ้านเมือง ด้วยการทำงานให้เห็น ไม่ใช่ผลักคนที่คิดไม่เหมือนเราไปเป็นศัตรู จนทำให้พวกเขาคิดต่างจากพวกเราไปเรื่อยๆ ตั้งสติให้มั่น เข้าใจสถานการณ์ มองคนที่ไม่เข้าใจเรา และหาวิธีสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้พวกเขาเปลี่ยนแปลง และเข้าใจพวกเรามากขึ้นเรื่อยๆ.