Saturday, 21 December 2024

นายกฯ ลั่น ไม่อยากให้ประเทศกลับไปสู่จุดขัดแย้งเดิม บอกเรื่องเห็นต่างคุยกันได้

นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่นครพนม-สกลนคร ได้เห็นโอกาสทำชีวิตความเป็นอยู่ประชาชนดีขึ้น ยันรัฐบาลมุ่งมั่นแก้ปัญหาความยากจน ย้ำไม่อยากให้กลับไปสู่ความขัดแย้งวังวนเดิม เชื่อสันติสุขสร้างรอยยิ้มได้ ชี้ความเห็นต่างกัน อยากเห็นใช้เวทีปลอดภัยพูดคุยกันวันที่ ๑๘ ก.พ. ๒๕๖๗ ที่ จ.สกลนคร นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงการลงพื้นที่ จ.นครพนม และ จ.สกลนคร ว่า  ๒ วันที่ผ่านมาผู้สื่อข่าวก็เห็นว่าตารางเต็มเหยียดเลย มา จ.นครพนม และ จ.สกลนคร วันนี้มี ๗ งาน ตนคิดว่าโดยรวมเราดูเรื่องของโอกาสมากกว่า คงไม่ปฏิเสธว่า จ.สกลนคร เป็นอันดับที่ติดท็อป ๒๐ ของประเทศที่มีจีดีพีต่ำที่สุดในประเทศไทย ซึ่งตนมาที่จ.สกลนคร แล้วก็เห็นโอกาสที่เราจะสามารถทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้น ซึ่งถ้าเรามองย้อนไปวันนี้มีจุดหนึ่ง ที่ถ้าเราไปยืนดูที่ภูพาน ย้อนไป ๔๐-๕๐ ปีที่ผ่านมา หลายท่านเองคงทราบมีปัญหาเรื่องคอมมิวนิสต์ และความไม่สงบเกิดขึ้น ซึ่งฝ่ายความมั่นคงมีการบริหารจัดการเรื่องนี้ได้ดีมาก รวมถึงปัญหาเรื่องความไม่มั่นคงและปัญหาเรื่องความแตกแยก และการเสียเลือดเนื้อได้จบลงไปแล้ว วันนี้เรามาสู้กับปัญหาความยากจน ตนเชื่อว่าเรื่องของสันติสุขเป็นเรื่องที่นำรอยยิ้มมาให้กับพี่น้องคนไทยประชาชนทุกคน ถึงแม้ว่าเงินในกระเป๋าจะมีน้อย แต่เรามีรัฐบาลที่ใส่ใจที่มีความมุ่งมั่นในการที่จะแก้ไขปัญหาความยากจน“ผมเชื่อว่าเหนือสิ่งอื่นใดเราไม่อยากจะเห็น และกลับไปสู่ความขัดแย้งเมื่อ ๔๐-๕๐ ปีที่ผ่านมาที่มีคอมมิวนิสต์ พระองค์ท่านอยากเห็นคนไทย มีความรัก มีความสมัครสมานสามัคคี ถ้าความเห็นต่างก็อยู่ด้วยกันได้ ใช้เวทีที่ปลอดภัยเป็นที่ถกเถียง และพูดคุยกัน เพื่อแก้ไขปัญหาใช้นักวิชาการในการพูดคุยสื่อสารกันอย่างถูกต้อง ตรงไปตรงมา อันนี้ถือเป็นเรื่องที่ดี ถ้าหากย้อนไปอีกเมื่อ ๓๐ ปีที่ผ่านมา พอเรื่องของคอมมิวนิสต์จบไปที่ภูพาน ก็มีโครงการพระราชดำริภูพาน ซึ่งเราทุกคนก็ได้ไปดูมาก็เห็นว่ามีศักยภาพสูงมากไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแปรรูปสินค้าเกษตร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสัตว์เลี้ยงที่มีมูลค่าสูง เรื่องไก่ดำ เรื่องกระต่าย และเรื่องเนื้อโคขุน ๑ ชิ้น ๕,๐๐๐-๖,๐๐๐ บาท สู้กับเนื้อแพงๆ ของญี่ปุ่นได้ เรื่องนี้ถือว่าเป็นโอกาสอันดีที่รัฐบาลต้องช่วยสนับสนุน และเชื่อมโยงภาคเอกชนให้นำสินค้าเหล่านี้ไปขายในห้างสรรพสินค้า ในประเทศไทย หรือบริษัทเอกชนที่มีเครือข่ายอยู่ต่างประเทศ นำเอาไปขายยังต่างประเทศ เพื่อเป็นความหวัง และแรงบันดาลใจให้กับประชาชนคนไทยทุกคน ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญใน ๒ วันที่ผ่านมา ผมเชื่อว่าสื่อมวลชนก็เห็นเรื่องของโอกาส แต่ว่าถ้าเกิดไม่เอาประวัติศาสตร์มาพูด ว่าเรามีโอกาสวันนี้ได้เพราะอะไร เราจะได้ไม่ย้อนกลับไปสู่วังวนเดิมๆ ที่มันไม่มีสันติสุข วันนี้เราอยากเห็นรอยยิ้มเรื่องของความยากจน เราแก้ไขได้รัฐบาลนี้มีความตั้งใจ แก้ไขปัญหานี้ต่อไป” นายกฯ กล่าวเมื่อถามว่าที่โครงการพระราชดำริเห็นภาคเอกชนร่วมลงพื้นที่ไปด้วย  ภาคเอกชนสนใจสินค้าอะไรเป็นพิเศษ โดยเฉพาะของภาคเกษตรกร ไปต่อยอดอย่างไร นายกฯ กล่าวว่า ตนว่าหลายเรื่องมีความตื่นตัวมาก ไม่ใช่แค่ทริปนี้ทริปเดียว ซึ่งหลังจากที่ตนลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ก็มีนักธุรกิจรายใหญ่สนใจนำสินค้าไปขายในที่ต่างๆ ไม่ใช่แค่อยู่ดีๆ ก็แค่เขียนเช็คให้แล้วสั่งซื้ออย่างเดียว ปัญหาของเกษตรกร คือการเปิดตลาด ถ้าหากเจ้าสัว นักธุรกิจ หรือภาคเอกชนหลายราย สามารถช่วยตลาดได้ก็จะดีมาก ซึ่งวันนี้จุดสุดท้ายที่จังหวัดสกลนครท่านก็เห็นว่ามีเรื่องของสมุนไพร จะเห็นว่าสมุนไพรเรามีหลายอย่าง ถ้าจะขายแล้วมาใส่ในส่วนผสมของอาหารรายได้ก็จะต่ำ เพราะกิโลกรัมละไม่กี่สิบบาท ถ้าหากแปรรูปเป็นยา และได้รับการรองรับที่ดี แล้วภาคเอกชนนำไปขายก็จะเพิ่มมูลค่าสูงขึ้น ก็จะแก้ปัญหาความยากจนได้ นี่เป็นจุดเริ่มต้น ทั้งนี้เรามาที่นี่วันนี้ไม่ได้แค่มาเชื่อมต่อภาคเอกชน กับภาคเกษตรกรอย่างเดียว เรื่องของปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง ก็ต้องมีการบริหารจัดการกัน เรื่องโลจิสติกส์ และการเชื่อมโยงคมนาคมระหว่างจังหวัดก็ต้องมีการทำไปด้วย ตนขอแค่เวลา ระหว่างนี้ถ้าเกิดมีความเห็นต่างกัน ไม่เห็นด้วย ก็ขอให้ใช้เวทีพูดคุยกันดีกว่า อย่าลืมว่าสันติสุขเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดเมื่อถามว่า ดูเหมือนนายกฯ พูดเน้นในเรื่องของความเห็นต่าง และความปรองดอง เวลานี้มีสัญญาณอะไรหรือเปล่า นายเศรษฐา กล่าวว่า ไม่มี แต่วันนี้ที่มาได้พูดคุยกับรัฐมนตรีอาวุโส นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการวัฒนธรรม เป็นนายอำเภอ ในหลายๆ พื้นที่เมื่อประมาณ ๔๐ กว่าปีที่แล้ว ได้วาดภาพให้ตนเห็นว่าสมัยก่อนเรื่องความไม่ความปรองดอง เรื่องของคอมมิวนิสต์ที่มันเกิดขึ้น มันโหดร้าย วันนี้เราก้าวข้ามตรงนั้นมาแล้วพี่น้องประชาชน เราเองก็มีความปรองดองมาถึงจุดๆ หนึ่งแล้ว และวันนี้ได้มาลงพื้นที่ภูพานด้วย ก็เป็นการเตือนความทรงจำว่าเคยมีปัญหาตรงนี้ ฉะนั้นไม่อยากให้เรากลับไปถึงจุดที่มีความขัดแย้งเกิดขึ้น พวกท่านก็ทราบดีอยู่ว่ามีความขัดแย้งเกิดขึ้น ซึ่งมันเป็นธรรมดาของสังคมที่มีคนหลากหลายเจเนอเรชัน หลากหลายความคิดเข้ามา แต่เชื่อว่าระบบการปกครองของเรามีพื้นที่ที่ปลอดภัยให้กับทุกๆ คน สามารถมาพูดคุยกันได้.

Related posts