Monday, 18 November 2024

บิ๊ก กสส. เผยครบ ๑๐๘ ปี สหกรณ์ไทย จะพัฒนา ๖.๒ พันแห่ง สู่ความยั่งยืน

อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เร่งพัฒนา ๑๐๘ ปี สหกรณ์ไทย ๖,๒๐๐ แห่งทั่วประเทศ โอกาสครบรอบ ๑๐๘ ปี สหกรณ์ไทย พร้อมส่งมืออาชีพสางสหกรณ์ที่อ่อนแอขาดทุนเมื่อวันที่ ๑๙ ก.พ. ๖๗ นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวถึงนโยบายการพัฒนาสหกรณ์คุณภาพ ในโอกาสครบรอบ ๑๐๘ ปี สหกรณ์ไทย ว่า ในปี ๒๕๖๗ การดำเนินงานจะเดินไปในแนวทางนี้ โดยจะมุ่งสร้างสหกรณ์คุณภาพเพื่อประโยชน์สู่สมาชิกสหกรณ์โดยรวม ซึ่งจากการสรุปตัวเลขจำนวนสหกรณ์มีจำนวนลดลงนั้นไม่ใช่ปัญหาในการพัฒนางานสหกรณ์ แต่เป็นการลดลงเพื่อให้ได้สหกรณ์ที่มีคุณภาพ โดยกรมจะสนับสนุนสิ่งที่สหกรณ์ขาด อาทิ อุปกรณ์การตลาด องค์ความรู้ใหม่ๆ การเชื่อมโยงเครือข่ายเพื่อให้เกิดการขายผลผลิตเพิ่มขึ้น รวมกับการแปรรูปเพิ่มมูลค่าผลผลิตของสมาชิก เป็นต้น ส่วนสหกรณ์ที่อ่อนแอขาดทุนสะสมมาหลายปี ก็จะมีคณะผู้เชี่ยวชาญแต่ละสาขาศึกษาว่าแต่ละแห่งมีต้นเหตุ และปัญหาเกิดจากอะไร ซึ่งบางแห่งไม่ได้เกิดจากการทุจริต แต่เกิดจากการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาดของสหกรณ์ เช่น การให้เงินกู้เกินกว่าสมาชิกจะชำระหนี้ได้ โดยมุ่งหวังที่จะได้รายได้กลับมาสู่สหกรณ์ แต่กลับเป็นว่าจ่ายไปแล้วเกิดหนี้เสียกลายเป็นหนี้สูญ ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายของสหกรณ์ ปัญหาตรงนี้มีอยู่ร้อยละ ๔๐-๕๐ ของสหกรณ์ที่มีปัญหา วิธีแก้ไขจะเร่งติดตามหนี้อย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องสร้างอาชีพคู่ขนานกันไปด้วย เพื่อสร้างรายได้แก่สมาชิก โดยอาจจะต้องสร้างรายได้รายวัน รายเดือน รายปี  โดยรายวันนั้น อาทิ การปลูกพืชผักสวนครัวต่างๆ เพื่อให้เขามีรายได้ ลดรายจ่ายในครัวเรือน นอกจากนี้ กรมฯ ยังร่วมกับหน่วยงานในกระทรวงเกษตรฯ เช่น ร่วมกับกรมพัฒนาที่ดินในการขุดสระให้กับสมาชิกสหกรณ์เพื่อเลี้ยงปลา และปลูกพืชระยะยาว เช่น ปลูกไม้ผลบริเวณขอบสระ รวมทั้งปลูกไม้ยืนต้นอย่างยางนาไว้ขายคาร์บอนเครดิตในอนาคต ส่วนสหกรณ์ที่ขาดทุนสะสมจำนวนมากยากที่จะเยียวยา ก็จะนำเข้าสู่กระบวนการชำระบัญชีเพื่อเลิกกิจการ โดยเฉลี่ยหนี้ให้กับเจ้าหนี้ แต่ตัวสมาชิกจะชำระได้ไม่เกินทุนหุ้นหรือทรัพย์สินที่มีอยู่ในสหกรณ์  อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลปี ๒๕๖๒ มีสหกรณ์ทั้งหมด ๘ พันกว่าแห่ง ขณะนี้เลิกกิจการไปเหลือเพียง ๖,๒๐๐ กว่าแห่ง ช่วงเวลา ๔-๕ ปีที่ผ่านมา สหกรณ์ส่วนหนึ่งเข้าสู่กระบวนการชำระบัญชี และเคลียร์บัญชีให้กับเจ้าหนี้ลูกหนี้และผู้ถือหุ้น สำหรับสหกรณ์ที่เหลืออยู่ในปัจจุบันกว่า ๖,๒๐๐ แห่งนั้นได้ผ่านการตรวจสอบเป็นที่เรียบร้อยว่าสามารถดำเนินงานได้ปกติไม่มีปัญหา จากนี้ไปก็จะพัฒนาให้โตขึ้น มีศักยภาพมากขึ้นสร้างความเชื่อถือให้กับผู้ถือหุ้น ผู้ฝากเงิน และผู้มีส่วนได้เสียกับสหกรณ์ “ผมเน้นเรื่องคุณภาพ และการตั้งสหกรณ์ใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจะเน้นคุณภาพมาเป็นอันดับหนึ่ง ไม่ใช่ตั้งตามความต้องการแบบฉาบฉวยของประชาชน เช่น ตั้งเพื่อรองรับเงินที่จะได้จากรัฐบาล พอได้เงินแล้วก็ทิ้งสหกรณ์ ไม่ได้ตั้งจากความต้องการอย่างแท้จริง ตั้งขึ้นมาเพียงแค่ต้องการเงิน เป็นต้น” นายวิศิษฐ์ กล่าวและว่า ต่อไปนี้การจะตั้งสหกรณ์ขึ้นมาสักแห่งสมาชิกจะต้องผ่านการฝึกอบรมเรียนรู้การทำงานกระบวนการสหกรณ์ก่อนอย่างน้อย ๖ เดือน โดยในระหว่างนี้จะมีการทดลองกิจกรรมต่างๆ เช่น มีการประชุมกลุ่ม ประชุมคณะกรรมการ มีการระดมทุน ถือหุ้นเป็นรายเดือน ตลอดจนการค้าการขาย โดยการทำกิจกรรมกลุ่มทุกครั้งจะต้องมีคนมาร่วมเกินร้อยละ ๘๐ นายทะเบียนจึงจะรับจดทะเบียนตั้งสหกรณ์ให้เพื่อให้เขาดำเนินการต่อไปได้”ที่จริงหลักเกณฑ์หลักการเรื่องการจัดตั้งสหกรณ์นี้เป็นแนวทางมาตั้งแต่อดีต ๑๐๘ ปีที่แล้ว เมื่อครั้งที่พระบิดาสหกรณ์ไทยจดทะเบียนจัดตั้งสหกรณ์ขึ้นมา แต่บางครั้งเกิดเหตุการณ์บางอย่างต้องรีบตั้งสหกรณ์เพื่อจะรับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล หลังจากได้เงินแล้วทุกคนก็แยกย้ายมันก็เกิดความล้มเหลว ทำให้เราเห็นสหกรณ์ร้างเลิกไปพันกว่าแห่ง”อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าว อย่างไรก็ตามผลจากการคุมเข้มดังกล่าว ล่าสุด ปี ๒๕๖๖ มีการจดทะเบียนจัดตั้งสหกรณ์เพียง ๕๐ กว่าแห่งเท่านั้น จากเดิมแต่ละปีมีไม่ต่ำกว่า ๓๐๐-๔๐๐ แห่ง ขณะเดียวกันจะมีการติดตามการดำเนินงานอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง เพื่อจะได้ไม่มีปัญหาและก้าวไปสู่ความมั่นคงยั่งยืนต่อไป.