Thursday, 19 December 2024

"กรมชลประทาน" นำร่อง ศึกษาวิจัย จัดทำโครงสร้าง "ต้นทุนน้ำ" พื้นที่ EEC

“กรมชลประทาน” นำร่อง ศึกษาวิจัยต้นทุนน้ำชลประทานในพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก EEC สำหรับจัดทำโครงสร้างต้นทุนการจัดการน้ำ รวมถึงการจัดเก็บค่าน้ำที่เหมาะสมวันที่ ๒๓ ก.พ. ๒๕๖๗ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรมชลประทาน เดินหน้าโครงการศึกษาวิจัยต้นทุนน้ำในพื้นที่ EEC เพื่อศึกษาข้อมูลในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง สำหรับจัดทำโครงสร้างต้นทุนจากระบบชลประทานที่เหมาะสมได้มาตรฐานให้เกิดการเชื่อมั่นและยอมรับในทุกภาคส่วน การประเมินต้นทุนการจัดการน้ำ รวมถึงการจัดเก็บค่าน้ำที่เหมาะสมตาม พระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ นายสุรชาติ มาลาศรี ผู้อำนวยการสำนักบริหารโครงการ กรมชลประทาน เปิดเผยว่า กรมชลประทานได้ว่าจ้างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นที่ปรึกษาในการดำเนินโครงการศึกษาวิจัยต้นทุนน้ำในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา จ.ชลบุรี และ จ.ระยอง ซึ่งถือเป็นพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก : EEC) เพื่อศึกษา รวบรวม และวิเคราะห์ โครงสร้างต้นทุนและการประเมินต้นทุน การจัดการน้ำอุปทานโดยกรมชลประทานและการกำหนดอัตราค่าน้ำชลประทานที่เหมาะสมและเป็นรูปธรรมสำหรับทุกภาคส่วนที่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงตามบริบทการจัดหา จัดสรร พัฒนา ให้บริการด้านอุปทานน้ำ (Water Resources Supply) รวมทั้งวางแผนและกำหนดทิศทางการพัฒนาและประยุกต์ใช้โครงสร้างต้นทุนการจัดการน้ำอุปทานและอัตราคำน้ำชลประทานในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกที่สอดคล้องกับแผนหลักการพัฒนาแหล่งน้ำต้นทุนและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อรองรับขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่ EEC ร่วมกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ เอกชน กลุ่มผู้ใช้น้ำให้เกิดการบริหารจัดการน้ำในเขตพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกแบบบูรณาการโดยคณะผู้เชี่ยวชาญจะทำการศึกษาวิเคราะห์และกำหนดข้อเสนอแนะเชิงนโยบายแนวทางการจัดการน้ำอุปทานอย่างเหมาะสมสอดคล้องกับภาคส่วนผู้ใช้น้ำที่เกี่ยวข้อง ที่ได้รับการวิเคราะห์อย่างเป็นระบบแล้วให้มีประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ และรองรับอุปสงค์น้ำจากการคาดการณ์บริบทการเปลี่ยนแปลงในอนาคตและพัฒนาระบบ Web Application สนับสนุนการวิเคราะห์ ประเมิน และกำหนดต้นทุนการจัดการน้ำอุปทานและกำหนดต้นทุนการจัดการน้ำ กำหนดอัตราค่าน้ำชลประทานอย่างเหมาะสม ภายใต้การคาดการณ์ปริมาณน้ำที่สามารถใช้การได้ ความต้องการน้ำและระดับความขาดแคลนอย่างมีมาตรฐานและเป็นธรรมสำหรับทุกภาคส่วนในเป้าหมาย ๓ จังหวัดคือฉะเชิงเทรา ชลบุรีและระยอง คาบเกี่ยวกับ ๒ ลุ่มน้ำหลัก ได้แก่ ลุ่มน้ำบางปะกงและลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลตะวันออก รวมพื้นที่ศึกษาทั้งหมดประมาณ ๘,๔๕๔,๓๗๕ ไร่ โดยในการศึกษาครั้งนี้ได้แบ่งประเภทความต้องการน้ำออกเป็น ๔ ประเภท ด้วยกัน คือ ๑. น้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภคและการท่องเที่ยว ๒. น้ำเพื่อการอุตสาหกรรม ๓. น้ำเพื่อการเกษตรชลประทาน และ ๔. น้ำเพื่อรักษาสมดุลระบบนิเวศและผลักดันน้ำเค็ม นายสุรชาติ กล่าวอีกว่า กรมชลประทาน เลือกพื้นที่ภาคตะวันออกนำร่องในการศึกษาต้นทุนน้ำ เนื่องจากว่าในปัจจุบันจังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรีและระยองเป็นพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่ได้รับการยอมรับว่า เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและมีการส่งเสริมอุตสาหกรรมและการลงทุนหลักของประเทศไทยและภูมิภาคนอกจากเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญแล้วยังมีฐานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่และการเกษตรมูลค่าสูง ทำให้มีแรงงานทุกระดับหลั่งไหลเข้าสู่พื้นที่ส่งผลให้มีความต้องการความมั่นคงด้านน้ำสูงและคาดการณ์ว่าจะเพิ่มสูงเพิ่มขึ้นอีกในอนาคตอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง โดยคาดว่าในปี ๒๕๘๐ จะมีความต้องการใช้น้ำรวม ๓,๐๘๙ ล้าน ลบ.ม./ปี เพิ่มขึ้นจากปี ๒๕๖๐ ที่มีความต้องการใช้น้ำรวม ๒,๔๑๙ ล้าน ลบ.ม/ปี (เพิ่มขึ้น ๖๗๐ ล้าน ลบม /ปี) อันเนื่องจากการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจและสังคมตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล โดยความต้องการใช้น้ำในพื้นที่ ๓ จังหวัด EEC คิดเป็นร้อยสะ ๕๓.๕ ของความต้องการใช้น้ำทั้งภาคตะวันออก ทั้งนี้ ความต้องการใช้น้ำภาคอุปโภค-บริโภคมีอัตราการเพิ่มขึ้นมากที่สุด (ร้อยละ ๕๖) รองลงมาคือภาคอุตสาหกรรม (ร้อยละ ๔๓) และภาคเกษตรกรรม (ร้อยละ ๑๗)สำหรับความต้องการใช้น้ำเพื่อการอุปโภคและการท่องเที่ยว จังหวัดชลบุรีมีความต้องการใช้น้ำมากที่สุดคือ ๑๔๗.๕๐ ล้าน ลบ.ม. รองลงมาระยองและฉะเชิงเทรา ๖๑.๖๖ ล้าน ลบ.ม. และ ๔๑.๘๙ ล้าน ลบ.ม.ตามลำดับ ส่วนความต้องการใช้น้ำเพื่อการอุตสาหกรรมจังหวัดที่มีความต้องการใช้มากที่สุดคือ ระยอง มีความต้องการ ๒๙๒.๗๗ ล้าน ลบ.ม. รองลงมา ชลบุรี ๒๐๓.๙๕ ล้าน ลบ.ม.และฉะเชิงเทรา ๑๐๘.๙๒ ล้าน ลบ.ม. ตามลำดับ ส่วนความต้องการใช้น้ำเพื่อการเกษตรชลประทาน จังหวัดฉะเชิงเทรามีความต้องการใช้มากที่สุดคือ ๑,๓๐๔.๗๔ ล้าน ลบ.ม. รองลงมา ระยอง ๑๓๙.๑๘ ล้าน ลบ.ม.และชลบุรี ๑๑๗.๙๗ ล้าน ลบ.ม. นายสุรชาติ ได้กล่าวถึงแนวทางในการวิเคราะห์และพัฒนาโครงสร้างต้นทุนการจัดการน้ำอุปทาน การประมาณการมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและการกำหนดอัตราค่าน้ำชลประทานด้วยว่า จะเน้นศึกษารูปแบบ วิธีการ กลไกลและแนวทางการแจกแจงโครงสร้างต้นทุนการประเมินต้นทุนและการกำหนดราคาน้ำในประเทศต่างๆ ที่มีความเหมาะสมกับประเทศไทย อาทิ สหภาพยุโรปมีการกำหนดกฎระเบียบด้านการบริหารจัดการน้ำ (EU Water Framework Directive) โดยส่งเสริมเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ ซึ่งรวมถึงภาษีและค่าทำเนียมทั่วไปเพื่อสร้างแรงจูงใจแก่ผู้ใช้น้ำในการใช้ทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพและลดปัญหามลพิษทางน้ำ รวมทั้งแนวทางขององค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่นหรือไจก้า ได้นำเสนอแนวทางการกำหนดราคาค่าน้ำกรณีศึกษาของเมืองเกียวโต ซึ่งในข้อมูลได้นำเสนอรายได้จากการจัดเก็บค่าน้ำเปรียบเทียบกับต้นทุนอุปทานน้ำและอัตราส่วนความคุ้มทุนรวมระยะในการทบทวนอัตราค่าน้ำของผู้ให้บริการน้ำในประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น”หลังจากผลดำเนินการศึกษาวิจัยต้นทุนน้ำพื้นที่ EEC แล้วเสร็จ กรมชลประทานมีความเชื่อมั่นว่าจะทำให้มีการกำหนดอัตราราคาค่าน้ำที่เหมาะสม สะท้อนและครอบคลุมต้นทุนที่แท้จริง มีมาตรฐานและทำให้ประเทศไทยมีแนวทางในการใช้โครงสร้างต้นทุนการจัดการน้ำอุปทานและอัตราค่าน้ำชลประทานพร้อมข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่เหมาะสม ตลอดจนมีระบบ Web Application กำหนดต้นทุนการจัดการน้ำและอัตราค่าน้ำที่เหมาะสมและได้รับการยอมรับจากทุกภาคส่วน” นายสุรชาติ กล่าว