จี้รัฐจัดมื้อเช้าให้เด็กช่วยแก้ปมไอคิวตก รุก กระทรวงศึกษาธิการสร้างพื้นที่ปลอดภัย

จากการที่ World of Statistics รายงานข้อมูลระบุว่า คนไทยมีระดับไอคิวเฉลี่ยอยู่ที่ ๘๘.๘๗ เป็นอันดับที่ ๖๔ ของโลก และเป็นอันดับที่ ๕ ของอาเซียนตามหลังประเทศสิงคโปร์ กัมพูชา เมียนมา เวียดนาม ตามลำดับ นั้น ศ.ด็อกเตอร์สมพงษ์ จิตระดับ นักวิชาการการศึกษา และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา กล่าวว่า เป็นข้อมูลที่น่าตกใจที่ไอคิวหรือความฉลาดทางเชาวน์ปัญญาของคนไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง ๔-๕ ปีที่ผ่านมา ประกอบกับสภาวะปัจจุบันที่เราจะเห็นเด็กและเยาวชน ก่อความรุนแรงและทำความผิดที่ซับซ้อนและรุนแรงมากขึ้น รวมทั้งปัญหาการติดยาเสพติด แสดงให้เห็นว่าระดับความฉลาดทางอารมณ์ หรือ EQ และความฉลาดทางศีลธรรม หรือ MQ ลดลงเช่นกัน สำหรับสาเหตุที่ทำให้ระดับสติปัญญาของเด็กไทยลดลงนั้น ตนสรุปเบื้องต้นว่ามาจาก ๑.เด็กไทยร้อยละ ๔๐ ไม่ได้กินอาหารเช้า ดังนั้น เมื่อท้องหิวก็ไม่มีสมาธิเรียน ดังนั้นรัฐบาลควรดูแลให้เด็กกลุ่มนี้ได้กินอาหารเช้าเพิ่มเติมจากที่มีอาหารกลางวันให้เด็กอยู่แล้ว ๒.ปัญหายาเสพติด ซึ่งระบาดหนักทุกพื้นที่ ทำให้เด็กกลายเป็นผู้ป่วยจิตเวช ผู้ทำผิดมีอายุน้อยลง และมีความรุนแรงมากขึ้น ๓.ระบบการเรียนรู้ในปัจจุบันขาดการกระตุ้นให้เด็กคิด วิเคราะห์ ทำให้สมองไม่ได้รับการพัฒนา ระดับสติปัญญาจึงลดลงศ.ด็อกเตอร์สมพงษ์กล่าวต่อว่า ๔.การปิดเรียนจากการระบาดของโรคโควิด-๑๙ เกือบ ๓ ปี ทำให้เด็กสูญเสียการเรียนรู้ ความรู้ถดถอย ๑ ปีถึง ๑ ปีครึ่ง และเด็กใช้เวลากว่าร้อยละ ๘๐ อยู่กับโทรศัพท์มือถือ การหยุดเรียนทำให้เด็กไทยไม่รู้จักการปรับตัวเข้ากับเพื่อน การอ่านออกเขียนได้ลดลงขาดการพัฒนาทักษะชีวิต เมื่อเด็กปรับตัวไม่ได้ ก็เกิดปัญหาการบูลลี่ การรังแก ทำร้ายกันในโรงเรียนเป็นความรุนแรงในสถานศึกษา สำหรับทางออกในเรื่องนี้คือ กระทรวงศึกษาธิการควรจัดสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้เด็กสามารถทำกิจกรรมที่สร้างสรรค์ ได้แสดงศักยภาพ การเรียนการสอนต้องมีคุณภาพ ให้เด็กรู้จักคิด วิเคราะห์ ตั้งคำถาม รวมทั้งเร่งปราบยาเสพติดให้สังคมมีพื้นที่ปลอดภัยจากยาเสพติดสำหรับเด็ก หากไม่เร่งแก้ไขตั้งแต่วันนี้ เราอาจสูญเสียเด็กไทยอายุตั้งแต่ ๓-๑๘ ปี ไปทั้งรุ่น กลายเป็นคนด้อยคุณภาพไปอย่างน่าเสียดาย.อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่