Thursday, 19 December 2024

ต้นตอจุดแตกหัก ศึกบิ๊กโจ๊ก-บิ๊กเต่า ตำรวจเฉือนคมตำรวจ สะเทือนวงการ

23 Feb 2024
113

คดีเว็บพนันเครือข่ายมินนี่ กลายเป็นศึกระหว่างบิ๊กโจ๊ก-พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กับบิ๊กเต่า-พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้ทำหนังสือไปยัง ป.ป.ช. ให้ส่งสำนวนกลับมากรณีบิ๊กโจ๊กกับพวก รวม ๕ คน ถูกพนักงานสอบสวน กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ กล่าวหากระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๕๗ เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ และมาตรา ๑๔๙ เป็นเจ้าพนักงานเรียกรับทรัพย์สินฯ หลังพบความเชื่อมโยงโอนเงินไปยังกลุ่มต่างๆ จากบัญชีม้าเว็บพนันมินนี่และเว็บอื่น รวมกว่า ๓๐๐ ล้านบาท และเตรียมดำเนินคดีเพิ่มเติมในข้อหาฟอกเงิน งานนี้พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ยอมไม่ได้ออกมาตอบโต้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และเป็นการดิสเครดิตกัน ขอให้ตำรวจยศใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังออกมาแสดงตัว อย่าปล่อยให้ลูกน้องออกหน้าอย่างเดียว ใหญ่มาจากไหน ยศอะไร อยากให้ยศใหญ่ๆออกมาพูด ต้องแมนๆ อย่าเป็นอีแอบ อย่าปอดแหก อย่ามาอิจฉากันเพราะต้องการเตะตัดขา หวังผลระยะยาว ขณะที่บิ๊กเต่า ก็ยืนยันทำอย่างตรงไปตรงมา ไม่ได้เป็นการกลั่นแกล้ง เป็นเรื่องผิด ไม่สามารถจะอ้างว่าเอาเงินจากเว็บพนันมาทำงานได้ เพราะตำรวจมีเงินเดือนมีเบี้ยเลี้ยงอยู่แล้ว และเท่าที่สอบปากคำ พบการหาเงินมีหลายวิธี ทั้งเอาโปรโมตตัวเอง ใช้ส่วนตัว และให้นักข่าว ศึกบิ๊กเต่า-พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ประจานสังคม กระทบภาพพจน์องค์กร”บิ๊กเต่า” เปิดศึกจุดแตกหักท้าชน “พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล” ถึงขนาดนี้โดยไม่หวั่นเกรงใดๆ น่าจะมีต้นตอเบื้องหน้าเบื้องหลัง “ศ.พล.ต.ท.ด็อกเตอร์พิศาล มุขแจ้ง” อดีตหัวหน้าอาจารย์วิชาอาชญาวิทยา โรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน และรองนายกสมาคมพนักงานสอบสวน มองว่า น่าจะมาจากความไม่เข้าใจกันมากกว่า จริงๆ แล้วตำรวจต้องคุยกันในองค์กร ถ้าเป็นความขัดแย้ง ก็ควรคุยกันแบบพี่กับน้อง เป็นเพื่อนร่วมงานที่ดี มีการสื่อสารกันให้ดีอย่างเข้าอกเข้าใจกัน ไม่ควรเปิดเผยให้กับสาธารณะ จะสร้างความเสื่อมเสียต่อองค์กรตำรวจ“อีกคนอาจมองว่าต้องการสกัดกั้นไม่ให้ขึ้นสู่บางตำแหน่ง แต่อีกฝ่ายก็มองว่าไม่ใช่ เป็นเรื่องของข้อเท็จจริงในเรื่องคดีที่เกิดขึ้น เป็นการมองที่แตกต่างกัน คิดว่า ผบ.ตำรวจเรียกทั้งสองฝ่ายมาเคลียร์ให้จบดีๆ ได้ เพราะการที่เป็นข่าวควรเป็นข่าวที่สร้างสรรค์ ทำให้ประชาชนได้รับผลประโยชน์ ไม่ควรเอาความไม่เข้าใจระหว่างกันออกมาสู่สาธารณะ จนประชาชนรู้สึกไม่ดีต่อภาพพจน์องค์กรตำรวจ”ส่วนจะผิดหรือถูกให้ว่ากันในองค์กร เพราะมีระเบียบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กำหนดไว้อยู่แล้ว และผลการสืบสวนยังไม่สิ้นสุด แต่กลับมีข้อมูลออกมาอาจเป็นการดิสเครดิต ถ้ายังไม่สิ้นสุดไม่มีการแจ้งข้อหาอย่างเป็นทางการ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ควรระวัง โดยเฉพาะข้อมูลในสำนวนสอบสวน ไม่ควรเปิดเผย อีกทั้ง ๒ ฝ่ายต่างตั้งใจทำงานทั้งคู่ เป็นบทเรียนในองค์กรจะต้องปรับวิธีการให้ข่าว และทบทวนระเบียบกฎเกณฑ์ให้อยู่ในกรอบ ซึ่งต้องพึงระมัดระวังว่าใครควรให้ข้อมูลกับสื่อมวลชน“เป็นห่วงภาพพจน์องค์กรตำรวจ แม้ข้อมูลจะจริง จะเท็จอย่างไร สามารถพิสูจน์ในชั้นศาลได้ อยากฝากน้องๆ ทั้งสองคนค่อยๆ คุยกัน หนักนิดเบาหน่อยก็ให้อภัยกัน อะไรที่เป็นผลประโยชน์ต่อประชาชนก็ควรทำ และในเรื่องคดีข้อกล่าวหาก็ว่ากันไป ไม่ควรเอาความขัดแย้งสร้างความเสียหายให้องค์กร” ส่วยผลประโยชน์ อำนาจเงิน เรื่องจริงวงการตำรวจ เรื่องส่วยเรื่องผลประโยชน์ในวงการตำรวจ ก็ต้องยอมรับว่ามีจริงๆ แล้วทำไมตำรวจต้องพึ่งพาอาศัยยอมรับผลประโยชน์ตรงนี้ ต้องถามว่าทำไม และเลี้ยงดูตำรวจให้อิ่มได้หรือไม่ ทั้งๆ ที่ตำรวจมีเขี้ยวเล็บ มีกฎหมายอยู่ในมือ ก็เหมือนเสือ ไม่ควรเลี้ยงเสืออย่างไม่ถูกต้อง จะต้องใช้งานให้เป็นในการรักษาความเป็นธรรมในสังคม จะต้องดูแลค่าตอบแทนให้สมเหตุสมผล และต้นตอที่เกิดขึ้นมาจากเรื่องผลประโยชน์ทั้งนั้น ไม่อยากให้อำนาจเงินเป็นใหญ่ในจิตใจของตำรวจ ควรยึดมั่นในอุดมการณ์ และถ้ามีชีวิตการเป็นอยู่ดี คงไม่สนใจสิ่งผิดกฎหมาย ไม่สนใจผลประโยชน์ที่ไม่ควรได้ แล้วทำไมตำรวจอยากอยู่ในหน่วยงานที่มีผลประโยชน์ และไม่อยากอยู่หน่วยงานที่ไม่มีผลประโยชน์ ซึ่งควรทำอย่างไรให้ตำรวจสามารถอยู่หน่วยงานใดก็ได้ ก็มีความสุขเหมือนกันในการเลี้ยงดูตัวเอง เลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย และสามารถดูแลประชาชนอย่างเสมอภาค ในการรักษาเกียรติของตัวเองอย่างสมบรูณ์ โดยรัฐบาลต้องเข้ามาดูแลตำรวจให้มีคุณภาพชีวิต เทียบเท่ามาตรฐานเจ้าหน้าที่รักษากฎหมายของนานาประเทศ และเมื่อเลี้ยงดูอย่างเต็มที่พอเพียง ก็ต้องเข้มงวดหากใครไปรับผลประโยชน์ ไปแสวงหารายได้โดยมิชอบ ก็ต้องฟันเต็มที่ ต้องมีกระบวนการตรวจสอบการทุจริตอย่างจริงจังหากดูแลตำรวจอย่างพอเพียง คงไม่กระทำความผิด เพราะไม่มีความจำเป็นต้องหาผลประโยชน์อะไร และจากที่เคยคุยกับตำรวจญี่ปุ่นว่ามีการหาผลประโยชน์หรือไม่ ก็ได้คำตอบว่าไม่มีความจำเป็นต้องทุจริต เมื่อมีพร้อมทุกอย่าง และสุดท้ายอยากให้ทั้ง ๒ ฝ่าย อย่าใช้คารมมาเชือดเฉือนกัน ก็ควรพึงระวังไม่ให้องค์กรตำรวจเสียหายจนกระทบต่อภาพพจน์.