วันนี้ผมขอเชิญชวนท่านผู้อ่าน หลบจากกองความทุกข์ว่าด้วยข่าวการเมืองบ้างข่าวเศรษฐกิจบ้างที่ฟังแล้วชวนใจหาย ไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อความเป็นสิริมงคลของพวกเราชาวไทยดีกว่าจิตใจที่กำลังหวั่นวิตกจะได้ผ่อนคลายลงท่านผู้อ่านคงจะได้ยินข่าวกันมาบ้างแล้วว่า รัฐบาลไทยโดย กระทรวงวัฒนธรรมไทย ร่วมกับรัฐบาลอินเดียโดย กระทรวงวัฒนธรรม อินเดีย สถานเอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทยและ สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย ๙๘๐ พร้อมด้วยพันธมิตรอีกหลายๆหน่วยได้ร่วมกันจัดโครงการพิเศษเพื่อเฉลิมพระเกียรติในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ ขึ้น โครงการหนึ่งในชื่อว่า “โครงการธรรมยาตราพระบรมสารีริกธาตุ จากมหานทีคงคาสู่ลุ่มแม่น้ำโขง” โดยจะอัญเชิญ พระบรมสารีริกธาตุขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมด้วย พระอรหันตธาตุ ของ พระสารีบุตร และ พระโมคคัลลานะ ที่ได้ชื่อว่าเป็นอัครสาวกของพระพุทธองค์ มาให้พี่น้องชาวพุทธในแถบถิ่นลุ่มแม่น้ำโขง ได้มีโอกาสสักการะถวายความเคารพบูชาอย่างใกล้ชิดจุดมุ่งหมายของโครงการนั้น สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย ๙๘๐ ซึ่งมีคุณ สุภชัย วีระภุชงค์ เป็นเลขาธิการฯ เคยให้สัมภาษณ์ว่า ตั้งใจจะอัญเชิญไปให้ครบทุกประเทศลุ่มแม่น้ำโขงที่ประชาชนนับถือพุทธศาสนาอันได้แก่ ไทย, กัมพูชา, ลาว, เมียนมา และเวียดนามโดยจะอัญเชิญมาให้ประชาชนชาวไทยเราได้มีโอกาสสักการะก่อนประเทศอื่นๆ ในฐานะที่เราเป็นผู้ริเริ่มโครงการนี้สำหรับพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าที่อัญเชิญมาครั้งนี้ เดิมฝังอยู่ในสถูปโบราณของเมือง ปิปราห์วา ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นที่ตั้งของ กรุงกบิลพัสดุ์ ในยุคพุทธกาล และหลังจากได้มีการขุดพบเมื่อ พ.ศ.๒๔๔๑ แล้วก็ได้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้ ณ พิพิธภัณฑ์กรุงนิวเดลีในส่วนของพระอรหันตธาตุของบรมสาวกทั้ง ๒ ค้นพบเมื่อ พ.ศ.๒๓๙๔ และได้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้ ณ เมืองสาญจีจากถ้อยแถลงของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช เมื่อวันแถลงข่าวเร็วๆนี้ ทำให้ทราบว่า รัฐบาลไทยในอดีตได้เคยอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุจากอินเดียมาให้ประชาชนชาวไทยสักการะมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อ ๑๒๒ ปีก่อน แต่ในครั้งนั้นมิได้อัญเชิญพระอรหันตธาตุของพระบรมสาวกทั้ง ๒ มาด้วย จึงนับว่าเป็นสิริมงคลอย่างยิ่งสำหรับปวงชนชาวไทยในปัจจุบัน ที่จะได้สักการะทั้งพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุพร้อมๆกันสำหรับกำหนดการในวาระแรกที่พระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุเสด็จถึงประเทศไทยนั้น ระบุไว้ว่า วันพฤหัสบดีที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมจะอัญเชิญจากท่าอากาศยานทหาร ๒ กองบิน ๖ ดอนเมือง ในเวลา ๑๓.๐๐ น. ไปประดิษฐาน ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนครจากนั้นรุ่งขึ้นวันศุกร์ที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ตั้งแต่เวลา ๑๖.๐๐ น. เป็นต้นไปจะมีการจัดริ้วขบวนอันยิ่งใหญ่ ประกอบด้วยขบวนโคม ๔ ภาค และการแสดง ๔ ภาคของประเทศไทย พร้อมด้วยการแสดงจากอินเดีย อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุไปประดิษฐาน ณ มณฑปที่สร้างขึ้นใหม่อย่างสวยงาม ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง และจะมีพิธีเปิดงานอย่างเป็นทางการ เวลา ๑๗.๐๐ น.พระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุจะประดิษฐาน ณ ท้องสนามหลวง ไปจนถึงวันที่ ๓ มีนาคม และจะเปิดให้พุทธศาสนิกชนเข้าถวายสักการะ ตั้งแต่เวลา ๐๙.๐๐-๒๐.๐๐ น. นับตั้งแต่วันเสาร์ที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ เป็นต้นไปในส่วนภูมิภาคจะอัญเชิญไปประดิษฐานให้ประชาชนสักการะรวม ๓ จังหวัด–ได้แก่ ภาคเหนือ ระหว่าง ๕-๘ มีนาคม ณ หอคำหลวง อุทยานราชพฤกษ์ จังหวัดเชียงใหม่, ภาคอีสาน ระหว่าง ๑๐-๑๓ มีนาคม ณ วัดมหาวนาราม จังหวัดอุบลราชธานี และ ภาคใต้ ระหว่าง ๑๕-๑๘ มีนาคม ณ วัดมหาธาตุวชิรมงคล จังหวัดกระบี่ผมก็ขอถือโอกาสลงกำหนดการทั้ง กทม. และอีก ๓ จังหวัดใน ๓ ภาค มาเพื่อทราบโดยทั่วกันในวันนี้ด้วย พร้อมกับขอเชิญพุทธศาสนิกชนทั้งหลายไปกราบไหว้บูชาเพื่อความเป็นสิริมงคลอย่างพร้อมเพรียงกันนะครับ.“ซูม”คลิกอ่านคอลัมน์ “เหะหะพาที” เพิ่มเติม
Related posts