Thursday, 19 December 2024

"สมศักดิ์" หนุนเลี้ยงโคแก้จน ดันออก ก.ม.เก็บภาษีดึงเงินใช้ประโยชน์

“สมศักดิ์” ตั้งวงเสวนา “เลี้ยงโคแก้หนี้-แก้จน” ชี้เลี้ยงเป็นรายได้เสริม ช่วยแก้จน นำเวลาว่างมาเลี้ยงสร้างเม็ดเงิน โชว์เริ่มเลี้ยง ๒ ตัว ผ่านไป ๔ ปี มี ๑๐ ตัว มูลค่า ๒.๕ แสน หากเลี้ยง ๑ ล้านครอบครัว จะสร้างมูลค่า ๒.๕ แสนล้านบาท ช่วยเพิ่มจีดีพี ๑.๔% พร้อมช่วยลด “Black Carbon” ได้กว่า ๑.๗ ล้านกิโลกรัมต่อปี เตรียมเดินหน้าออกกฎหมายเก็บภาษีกีฬาสัตว์ ดึงเงินมาใช้ประโยชน์เมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์๖๗ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดเสวนาสร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่องการเลี้ยงโค ภายใต้แนวคิด “เลี้ยงโค แก้หนี้ แก้จน ยกระดับคุณภาพชีวิต เกษตรกรไทย” โดยมี นายวิชัย ไชยมงคล ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี นายเบญจพล นาคประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ และผู้เข้าร่วมเสวนาจำนวนมาก ทั้งในห้องประชุม และผ่านระบบออนไลน์โดย นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ขอขอบคุณทุกหน่วยงานที่ให้โอกาสกองทุนหมู่บ้านฯ มาทำความเข้าใจในเรื่องการเลี้ยงโค ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ให้ทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชน ก่อนที่จะขับเคลื่อนโครงการเลี้ยงโคทั่วประเทศ โดยโครงการส่งเสริมเลี้ยงโค ตนเชื่อว่าจะช่วยส่งผลต่อคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนและเศรษฐกิจของประเทศ เพราะต้องยอมรับว่าประชาชนในต่างจังหวัดมีเวลาว่าง จากการทำไร่ทำนาวันละ ๓-๕ ชั่วโมง ซึ่งสามารถนำเวลาว่างมาทำปศุสัตว์ เช่น วัว ทำให้พี่น้องประชาชนจะไม่เสียพลังงานโดยเปล่าประโยชน์ โดยเราจะนำพลังงานนั้นมาทำให้เกิดเป็นเงิน และเป็นประโยชน์ต่อครอบครัวนายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า การส่งเสริมเลี้ยงโคของกองทุนหมู่บ้านฯ จะเริ่มด้วยเงิน ๕ หมื่นบาท ให้เกษตรกรกู้ดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งจะทำให้เกษตรกรมีรายได้เสริม เพราะจากโครงการเลี้ยงวัวนำร่องที่จังหวัดสุโขทัย เริ่มต้นด้วยเงิน ๕ หมื่นบาท ซื้อแม่พันธุ์วัว ๒ ตัว ซึ่งผ่านมา ๔ ปี เกษตรกรมีวัวเพิ่มเป็น ๑๐ ตัวแล้ว โดยถ้าคิดเป็นมูลค่า วัวตัวละ ๒๕,๐๐๐ บาท หากมี ๑๐ ตัว จะมีมูลค่าถึง ๒๕๐,๐๐๐ บาท และถ้าส่งเสริมเลี้ยง ๑ ล้านครอบครัว ก็จะมีมูลค่าถึง ๒๕๐,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งนอกจากการเลี้ยงวัวธรรมดาแล้ว ตนยังได้ส่งเสริมการพัฒนาเลี้ยงวัวที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น เช่น วัวโกเบ วัวบราห์มัน วัวทาจิมะ วัวแองกัส รวมถึงต่อยอดเป็นการเลี้ยงวัวกีฬา เพราะวัวธรรมดามีราคา ๒.๕-๕ หมื่นบาท แต่วัวสายพันธุ์ดีมีราคาถึงตัวละ ๒ แสนบาท”การส่งเสริมเลี้ยงวัว ยังเป็นการรองรับที่รัฐบาล ช่วยสร้างโอกาสขยายตลาดการส่งออกโคไปต่างประเทศด้วย โดยเป็นการทำควบคู่กันไป รวมถึงถ้ามีการส่งเสริมเลี้ยงโค ๑ ล้านครอบครัว ผ่านไป ๔ ปี มีการวิเคราะห์ว่า จีดีพีจะเพิ่มขึ้นประมาณ ๑.๔% ซึ่งจะช่วยส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศด้วย นอกจากนี้ ผมยังมีงบประมาณตรวจเขตราชการในจังหวัดละ ๑๐ ล้านบาท ซึ่งจะนำมาช่วยอบรมการแก้ปัญหาความยากจนและส่งเสริมอาชีพ เพราะสมาชิกกองทุนหมู่บ้าน ๑๓ ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นหนี้ ผมจึงเน้นให้กองทุนหมู่บ้านฯ คิดโครงการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงโค เพื่อให้สมาชิกมีรายได้เพียงพอในการใช้หนี้” รองนายกรัฐมนตรี กล่าว นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า การส่งเสริมอาชีพเลี้ยงวัว ยังช่วยลดปัญหาการปล่อย Black Carbon ได้ด้วย เพราะวัวจะกินฟางวันละประมาณ ๑ ก้อน ก้อนละ ๑๕ กิโลกรัม และนาข้าว ๑ ไร่ จะมีฟาง ๖๕๐ กิโลกรัม ซึ่งหากเผาตอซังและฟางข้าว ๑ กิโลกรัม จะผลิต Black Carbon ประมาณ ๐.๐๖ กรัม โดยหากคำนวณพื้นที่ปลูกข้าว ๔๔ ล้านไร่ จะปลดปล่อย Black Carbon กว่า ๒๙.๑๕ ล้านตัน หรือ ๒๙,๑๕๐ ล้านกิโลกรัมต่อปี หากเปลี่ยนจากการเผานำไปเลี้ยงวัว จะสามารถลดอัตราปลดปล่อย Black Carbon ได้กว่า ๑,๗๔๙ ตัน หรือ ๑,๗๔๙,๐๐๐ กิโลกรัมต่อปี”จากนี้ผมจะส่งเสริมทำใบเพ็ดดีกรีให้กับสัตว์ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสัตว์ ซึ่งเป็นการนำของประเทศออสเตรเลียมาปรับใช้ ที่มีการเลี้ยงม้าแข่ง ทำให้ตัวแชมป์มีมูลค่าสูงถึง ๑๐ ล้านเหรียญ หรือ ๓๕๐ ล้านบาท นอกจากนี้ ผมยังได้เตรียมร่างกฎหมายส่งเสริมปศุสัตว์ด้วย เพราะปัจจุบันมีการแข่งขันถูกกฎหมายทั้งม้า-วัว แต่ภาครัฐ ไม่ได้ภาษีเข้ารัฐ ผมจึงทำกฎหมายเพื่อให้เงินเหล่านั้นสามารถกลับมาเป็นประโยชน์กับประชาชน เพราะทุกวันนี้ กีฬาสัตว์ถูกกฎหมาย แต่ภาครัฐไม่ได้ประโยชน์ ดังนั้น ต้องนำกฎหมายเข้ามา ซึ่งเป็นการสร้างภูมิคุ้มกัน และส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยเป็นการทำให้ครบวงจร เพราะไม่อย่างนั้นประชาชนต่างจังหวัด จะถูกทิ้งห่างไปเรื่อยๆ พร้อมขอยืนยันว่าผมไม่สนับสนุนการเล่นพนัน แต่สนับสนุนการเลี้ยงสัตว์ เพื่อสร้างรายได้” นายสมศักดิ์ กล่าว