Thursday, 14 November 2024

คนไทยขาดทักษะชีวิตขั้นวิกฤติ

วันเสาร์สบายๆวันนี้ไปคุยเรื่องที่ไม่สบายกันสักวันนะครับ ผมเขียนเรียกร้องมาหลายปี ขอให้รัฐบาลเร่งฟื้นฟูการศึกษาไทยที่ล้มเหลวและล้าหลังโดยด่วน เอาคนดีคนเก่งด้านการศึกษาเข้าไปเป็นรัฐมนตรี ผมยกตัวอย่าง สิงคโปร์ ที่ไม่มีทรัพยากรอะไรเลย แต่ ลี กวนยิว นายกฯสิงคโปร์กลับ “สร้างคน” ขึ้นมาเป็น “ทรัพยากรอันมีค่า” ด้วย “การศึกษาที่ดีเยี่ยม” ทำให้สิงคโปร์ เป็นศูนย์กลางการเงินการค้าอันดับต้นๆของโลก ในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วอายุคน  ดึงดูดนักลงทุนทั่วโลกไปลงทุนตั้งสำนักงานใหญ่ที่สิงคโปร์ผมคงไม่นำมาเทียบกับไทย เพราะเทียบกันไม่ได้ วันนี้ผมมีผลงานวิจัยที่ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ทำร่วมกับ ธนาคารโลก เรื่อง “ทิศทางการพัฒนาทักษะทุนชีวิต เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของประเทศไทย” จากตัวอย่าง เยาวชนและผู้ใหญ่ ๑๕-๖๔ ปี ครอบคลุม ๖ ภูมิภาคทั่วประเทศ ซึ่งรัฐบาลได้เผยแพร่ปลายเดือนที่แล้ว แต่ไม่แพร่หลายนัก เป็นข้อมูลที่น่าตกใจมาก  อนาคตประเทศไทยน่าเป็นห่วง ถ้ารัฐบาลไม่รีบแก้ไขโดยด่วนทักษะทุนชีวิต (Foundational Skills) คือ ทักษะด้านสมรรถนะ ที่เด็กและเยาวชนและประชากรวัยทำงานจำเป็นต้องมี ประกอบด้วย ทักษะการรู้หนังสืออ่านออกเขียนได้ ทักษะด้านดิจิทัล และ ทักษะด้านสังคมและอารมณ์  เพื่อเผชิญกับความท้าทาย ความสามารถในการแก้ไขปัญหาชีวิตประจำวัน ช่วยพัฒนาความสามารถให้ก้าวไปข้างหน้าได้ ให้มีชีวิตอยู่ได้ในศตวรรษที่ ๒๑ คุณโคจิ มิยาโมโตะ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารโลก ผู้เสนองานวิจัยระบุว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาทักษะชีวิตของประชากรเข้าขั้นวิกฤติ  จากประชากรส่วนใหญ่ที่ไม่สามารถอ่านหนังสือ หรือคำนวณขั้นพื้นฐาน ไม่สามารถมีส่วนร่วมหรือเปิดกว้างรับความคิดเห็นใหม่ๆได้ผลวิจัยพบว่า ๖๔.๗% ของเยาวชนและผู้ใหญ่ไทย มีทักษะการรู้หนังสือที่ตํ่ากว่าเกณฑ์  คือไม่สามารถอ่านและเข้าใจข้อความสั้นๆเพื่อแก้ปัญหาง่ายๆ เช่น ฉลากยาได้ ๗๔.๑% มีทักษะทุนชีวิตด้านดิจิทัลตํ่ากว่าเกณฑ์ ไม่สามารถใช้อุปกรณ์บนคอมพิวเตอร์ทำงานง่ายๆ เช่น การค้นหาราคาที่ถูกต้องของสินค้าจากเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ ๓๐.๓% มีทักษะรากฐานทางอารมณ์และสังคมที่ตํ่ากว่าเกณฑ์การมีทักษะตํ่า ทำให้คนเหล่านี้ไม่มีแนวโน้มที่จะคิดริเริ่มเพื่อสังคม หรือมีความกระตือรืนร้นอยากรู้อยากเห็น  หรือมีจินตนาการ ซึ่งเป็นทักษะสำคัญที่ช่วยให้รับมือกับความเสี่ยงที่ไม่แน่นอน หรือประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน งานวิจัยยังพบว่า มีเยาวชนและผู้ใหญ่ ๑๘.๗%  ที่ไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้ เพราะขาดทักษะทุนชีวิตทั้ง ๓ ด้าน  จนไม่สามารถทำอะไรได้ด้วยตัวเอง มีทางเดียวคือต้องพึ่งพาผู้อื่น (เห็นข่าวในทีวีบ่อยๆ)ผู้วิจัยระบุว่า ประเด็นนี้มีความท้าทายอย่างมาก เนื่องจากไทยกำลังมุ่งมั่นที่จะก้าวไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูง ลดความเหลื่อมลํ้า  และปรับปรุงความเป็นอยู่ที่ดีของสังคมคุณโคจิ กล่าวว่า การที่ประเทศไทยมีสัดส่วนเยาวชนและผู้ใหญ่ที่มีทักษะตํ่ากว่าเกณฑ์ที่ใหญ่มากนั้น กลายเป็นต้นทุนทางเศรษฐกิจมหาศาล คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงถึง ๓.๓ ล้านล้านบาท  หรือ ๒๐.๑% ของจีดีพีในปี ๒๕๖๕ สูงกว่างบประมาณรายจ่ายปี ๒๕๖๕ ที่ ๓.๑ ล้านล้านบาท  ขณะเดียวกัน รายได้ต่อเดือนของแรงงานที่มีทักษะกับแรงงานที่ทักษะตํ่ากว่าเกณฑ์ก็แตกต่างกันถึง ๖,๓๐๐ บาท  หรือ ๑๙๐ ดอลลาร์ต่อเดือนดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ก็ให้ความเห็นว่า ประเทศไทยถูกจัดอันดับเป็น ประเทศรายได้ปานกลาง มาตั้งแต่ปี ๒๕๑๙ กว่า ๔๘ ปีมาแล้ว ปัจจุบันก็ยังติดอยู่ในสถานะที่ธนาคารโลกเรียกว่า “กับดักรายได้ปานกลาง”  ซึ่งจะต้อง เพิ่มรายได้ประชากรอีก ๔๐% ถึงจะก้าวไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูงได้จากงานวิจัยนี้ ด็อกเตอร์ประสาร ได้เสนอรัฐบาล ๓ ข้อ ๑.เร่งลงทุนเพื่อเสริมสร้างทักษะทุนชีวิตทั้ง ๓ ด้าน ด้วยการพัฒนาคุณภาพการศึกษาทุกระดับ ๒.สร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ (Learning Culture) ๓.ลงทุนในทุนมนุษย์ ไม่ยังงั้น ในอนาคตจีดีพีไทยอาจโตตํ่ากว่า ๒% ไปตลอดเลยก็ได้ เพราะศักยภาพคนไทยไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลย.“ลม เปลี่ยนทิศ”คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม