“เศรษฐา” ถึงกรุงปารีสเมืองแฟชั่น โชว์ผ้าขาวม้าพันคอ ก่อน จับเข่าคุยบิ๊กเอกชน ๑๒ รายของ ฝรั่งเศส อัดฉีดเต็มที่มาตรการภาษี หวังดึงมาลงทุนในไทย ACCOR เล็งเปิด รร.ใหม่ในไทย ถกผู้บริหารมิชลิน ย้ำปี ๖๘ ปีทองท่องเที่ยว จัดโชว์คอนเสิร์ต-แฟชั่นเอง ปลื้ม สุดขีดราคายางทะลุ ๘๐ บ./กก. “สมศักดิ์” อ้อนขอพบ “ทักษิณ” แต่ไร้สัญญาณตอบรับ “ทักษิณ” เบรก สส. แห่พบที่เชียงใหม่ หวั่นตกเป็นเป้าสายตา คปท.จ่ออุทธรณ์พักโทษ “นายใหญ่” “เรืองไกร” ขยี้ยุบ พท.หนุนแก้ ม.๑๑๒ กมธ.หั่นงบฯ ๙ พันล้าน ตัดทิ้งงบ จัดซื้อเรือฟริเกต ทร. “สุทิน” ปลอบใจให้เอาทีละอย่างแม้เสียงวิจารณ์ว่าศูนย์กลางอำนาจทางการเมือง ณ วันนี้อยู่ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า แต่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ ยังคงตั้งหน้าตั้งตาเดินสายพบผู้นำระดับโลก และภาคเอกชนรายใหญ่ จากภารกิจเดินทางเยือนฝรั่งเศส-เยอรมนี อย่างเป็นทางการ มีกำหนดการหารือกับภาคเอกชนรายใหญ่ของฝรั่งเศส ๑๒ ราย ในวันเดียวนายกฯจับเข่า ๑๒ เอกชนฝรั่งเศสเมื่อเวลา ๐๘.๓๐ น. วันที่ ๘ มี.ค. (ตามเวลาท้องถิ่นกรุงปารีส ฝรั่งเศส ช้ากว่าประเทศไทย ๖ ชั่วโมง) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการคลัง ยังคงปฏิบัติภารกิจเดินทางเยือนสาธารณรัฐฝรั่งเศส-สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี อย่างเป็นทางการ และกิจกรรมคู่ขนาน ระหว่างวันที่ ๗-๑๔ มี.ค. นายเศรษฐาเปิดเผยว่า ภารกิจวันนี้มีกำหนดการหารือกับภาคเอกชนฝรั่งเศส ๑๒ ราย เพื่อยืนยันกับเขาว่าเราพร้อมเปิดรับการลงทุนจากต่างชาติ รัฐบาลไทยพร้อมพูดคุยดูแลเรื่องความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน รวมไปถึงดูเรื่องมาตรการภาษีให้แก่ เอกชนที่สนใจลงทุนด้วย ทั้งนี้การหารือกับภาคเอกชนของฝรั่งเศสถือเป็นภารกิจแรกของนายเศรษฐาที่กรุงปารีส วันนี้ยังคงโปรโมตผ้าขาวม้าไทย ด้วยการนำผ้าขาวม้าสีชมพูสดใส ที่ชาว จ.ร้อยเอ็ด มอบให้เมื่อครั้งลงพื้นที่ นำมาทำเป็นผ้าพันคอ เป็นการโปรโมตสินค้าไทย ACCOR เล็งเปิด รร.ใหม่ในไทยต่อมาเวลา ๐๘.๕๐ น. นายเศรษฐาพบหารือ กับผู้บริหารภาคเอกชนฝรั่งเศส ช่วงเช้าหารือกับนาย Sébastien Bazin, ผู้บริหารบริษัท ACCOR Group Worldwide บริษัทชั้นนำในภาคธุรกิจการบริการ โดยเครือโรงแรม Accor เป็นเครือโรงแรมต่างประเทศใหญ่ที่สุดที่ดำเนินกิจการในประเทศไทย และภูมิภาคเอเชีย (ไม่รวมจีนแผ่นดินใหญ่) เพื่อสนับสนุนให้เกิดความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว Co-Promotion สนับสนุนการขายโดย Accor Group Worldwide รัฐบาลเดินหน้าดำเนินนโยบายเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าไทย บริษัทจะพิจารณาความเป็นไปได้ที่จะเปิดโรงแรมใหม่ในจุดหมายปลายทางอื่นของไทยเพิ่ม กำลังพิจารณาหา Location และ Partner จากนั้นหารือกับนาย Pascal Morand ผู้บริหาร Fédération de la Haute Couture et de la Mode สหพันธ์ แฟชั่นและการตัดเย็บชั้นสูง เป็นหน่วยงานกำกับดูแลอุตสาหกรรมแฟชั่นฝรั่งเศส มีสมาชิกมากกว่า ๑๐๐ สมาคม หารือถึงเป้าหมายของไทยในการเป็น Southeast Asian center of fashion and design ความร่วมมือจัดกิจกรรมร่วมกันที่ กทม.หรือปารีส ร่วมมือระหว่างบริษัทชั้นนำ รวมถึงการจัดโปรแกรมการฝึกฝนเพื่อพัฒนา young designers และร่วมกับมหาวิทยาลัยชั้นนำจัดหลักสูตรพัฒนา young designer ทั้งในระดับปริญญาตรี หรือปริญญาโทย้ำปี ๖๘ จัดโชว์คอนเสิร์ต–แฟชั่นจากนั้นเวลา ๑๐.๑๐ น. นายกฯพบหารือผู้บริหารบริษัท Michelin บริษัทผลิตยางล้อสำหรับยานพาหนะสัญชาติฝรั่งเศส มีความเชี่ยวชาญการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีเกี่ยวกับยางล้อ โดยบริษัท Michelin ลงทุนในไทยแล้ว ๕ โรงงาน จ้างงาน ๘ พันคน ด้วยมูลค่าการลงทุนกว่า ๑ พันล้านยูโร หรือมากกว่า ๔ หมื่นล้านบาท ใน ๑ ปี บริษัทใช้ยางธรรมชาติมากกว่า ๗ แสนล้านตันต่อปี และบริษัทระบุว่าใน ๓ ปีข้างหน้าจะเพิ่มกำลังการผลิตลงทุนเพิ่มถึง ๓๐๐ ล้านยูโร โดยคำนึงถึงการเปลี่ยนผ่านไปใช้พลังงานสะอาดในอนาคตอันใกล้ ซึ่งรัฐบาลไทยพร้อมสนับสนุน ต่อมาพบกับนายเกว็นดัล ปูลเล็นเนค ผู้อำนวยการฝ่ายจัดทำคู่มือมิชลินไกด์ทั่วโลก (MICHELIN Guide International Director) โดยการจัด Michelin guide ๒๐๒๔ เสร็จสิ้นแล้ว สำหรับไทยมีร้านอาหารที่ได้ ๑ ดาว จำนวน ๒๘ ร้าน ๒ ดาว จำนวน ๗ ร้าน จากวันแรกที่ Michelin มาไทยพบว่ามีศักยภาพดีขึ้นมาก และในส่วนของร้านอาหารที่อยู่ในกลุ่มมี potential คุณภาพดี ราคาเหมาะสมจำนวนมาก ในปีนี้มิชลินจะจัดลำดับให้กับโรงแรม ซึ่งอาหารและที่พักถือเป็น key factor หรือปัจจัยสำคัญของการท่องเที่ยว ทั้งนี้นายกฯย้ำว่าปี ๒๕๖๘ จะเป็น Golden year of tourism จะจัด World class festival คอนเสิร์ต แฟชั่นในไทยเองมาเมืองแฟชั่นโชว์ผ้าขาวม้าพันคอผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกฯยังทวีตภาพการแต่งกายด้วยการนำผ้าขาวม้า จ.ร้อยเอ็ด มาเป็นผ้าพันคอว่า “คิดไว้ตั้งแต่ตอนที่ได้ผ้าขาวม้าผืนนี้มาตอนไปลงพื้นที่ จ.ร้อยเอ็ด ว่าสีสวยสดแบบนี้จะเอามาคล้องคอ ใส่คู่กับสูทสีน้ำเงินตอนเยือนฝรั่งเศส เป็นยังไงบ้างแมตช์แล้วเข้ากันใช่ไหม การเยือนสาธารณรัฐฝรั่งเศสครั้งนี้ ผมตั้งใจมาเชิญชวนภาคเอกชน และบริษัทรายใหญ่ของฝรั่งเศสไปลงทุนในบ้านเรา โดยวันที่ ๘ มี.ค. มีกำหนดการหารือภาคเอกชนชั้นนำของฝรั่งเศส กว่า ๑๐ ราย ฝากทุกคนติดตามด้วย”ปลื้มราคายางปรับสูงขึ้น กก.๘๐ บ.นายเศรษฐาให้สัมภาษณ์ถึงราคายางพาราในประเทศที่ปรับตัวสูงขึ้น ราคาส่งออกทะลุ ๘๐ บาทต่อกิโลกรัมว่า ยางพาราเป็นพืชเศรษฐกิจหลักอีกชนิดของไทย ตั้งแต่ช่วงแรกที่รัฐบาลเข้ามาทำงาน ประกาศเอาไว้ว่าจะเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร ๓ เท่า ภายใน ๔ ปี และเชื่อว่าราคายางจะปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง รัฐบาลจะพยายามดำเนินมาตรการให้ราคายางปรับตัวสูงขึ้นต่อไป เพราะมีเกษตรกรผู้ปลูกยางทั้งในภาคใต้ ภาคเหนือตอนล่าง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รู้สึกดีใจมากที่ราคายางปรับตัวสูงขึ้น ยืนยันรัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาลักลอบนำเข้ายางเถื่อน ต้องขอบคุณกองทัพบก กระทรวงการคลัง กรมศุลกากร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดที่ป้องกันไม่ให้มีการลักลอบนำเข้ายางเถื่อนยันต้องดูแลเกษตรกรไทยก่อนนายกฯกล่าวอีกว่า รวมถึงการลักลอบขนยางเถื่อนโดยผ่านเส้นทางจากไทยไปยังเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย มาเลเซียเป็นประเทศนำเข้ายางพารามากถึง ๘๐% เพราะมีโรงงานผลิตถุงมือยาง มีการพูดคุยกับนายกฯมาเลเซียที่ออสเตรเลียแล้ว บอกไปว่าหากมีอะไรให้พูดคุยได้โดยตรง ไม่จำเป็นต้องนำเข้าจากที่อื่นผ่านไทย และกำชับนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รัฐมนตรีว่าการพาณิชย์ ไปแล้ว ว่าเรื่องนี้สำคัญ ให้ติดต่อประเทศมาเลเซียโดยด่วน หากต้องการใช้ยางไทยพร้อมส่งให้ได้ ที่สำคัญหลายภาคส่วนต้องร่วมมือกันเป็นหูเป็นตา ต้องเข้มงวดตรวจสอบนำเข้าสินค้าเถื่อน ทั้งหมูเถื่อน เนื้อเถื่อน แพะเถื่อน โดยเฉพาะสินค้าหลักที่ไทยสามารถผลิตได้เอง ไม่จำเป็นต้องเอาเข้ามา เพราะต้องดูแลเกษตรกรของไทยก่อน “สมศักดิ์” เข้าใจหัวอกคนไกลบ้านที่ทำเนียบรัฐบาล นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะเดินทางไป จ.เชียงใหม่ ว่า ในขณะพักโทษถ้าไม่นอนที่บ้านที่แจ้งไว้กับกรมคุมประพฤติ ต้องขออนุญาตว่าจะเดินทางไปที่ไหน อย่างไร ระยะเวลาเท่าไหร่ ถ้าไม่ได้ออกนอกประเทศสามารถขออนุญาต ถ้ากรมคุมประพฤติอนุญาตก็เดินทางไปได้ หากร่างกายยังไม่ค่อยแข็งแรงต้องมีหมอหรือพยาบาลคอยดูแล ผู้สื่อข่าวถามว่าการเดินทางของนายทักษิณ หากมีประชาชนไปพบหรือมีผู้สื่อข่าวไปดักรอ สามารถทำได้หรือไม่ นายสมศักดิ์ตอบว่า ได้ ส่วนจะให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนได้หรือไม่นั้น ไม่ทราบว่าเงื่อนไขของกรมคุมประพฤติเขียนไว้หรือไม่ เมื่อถามว่าจะถือว่าเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองของนายทักษิณหรือไม่ และมีนัยสำคัญอย่างไรกับพรรคเพื่อไทย นายสมศักดิ์ตอบว่า เรื่องนี้แล้วแต่ใครจะคิด แต่นายทักษิณไม่ได้อยู่ประเทศไทยถึง ๑๗ ปี เป็นธรรมดาที่จะคิดถึงบ้าน คิดถึงญาติพี่น้อง และย่อมมีคนที่คิดถึงนายทักษิณเช่นกัน นายทักษิณแค่ต้องการไปไหว้อัฐิบรรพบุรุษก็เท่านั้นอ้อนขอพบแต่ไร้สัญญาณตอบรับผู้สื่อข่าวถามว่าเป็นห่วงหรือไม่ว่าจะมีผู้เห็นต่างหยิบยกมาโจมตี เพราะมีความเกี่ยวเนื่องกับรัฐบาลด้วย นายสมศักดิ์ตอบว่า คงไม่เป็นไร ไม่น่าเป็นห่วงอะไร เมื่อถามว่า สส.พรรคเพื่อไทยจะใช้โอกาสนี้เดินทางไปพบนายทักษิณด้วยหรือไม่ นายสมศักดิ์ตอบว่า ยังไม่เห็นมีนัดหมายอะไร ส่วนตัวก็ยังไม่ได้พบนายทักษิณ อยากไปพบอยู่แต่ท่านยังไม่ให้พบ ที่เชียงใหม่คงไม่มีโอกาสได้พบ เมื่อถามว่าในช่วงเทศกาลสงกรานต์มีโอกาสจะเข้าไปรดน้ำดำหัวนายทักษิณหรือไม่ นายสมศักดิ์ตอบว่า ต้องขอไป แต่ไม่รู้จะให้ไปหรือเปล่า ขอไปแล้วแต่ยังไม่ตอบรับ เมื่อถามว่ามีคนท้วงติงว่านายทักษิณป่วยหนัก ไม่ควรเดินทางไปเชียงใหม่ช่วงนี้ เพราะมีปัญหาเรื่องฝุ่น PM๒.๕ เยอะ นายสมศักดิ์ตอบว่า บางครั้งคนเราหากยังพอขยับตัวได้ก็คิดถึงบ้านเรือนที่เคยอยู่เด้งเชือกบ้านจันทร์ฯศูนย์กลางอำนาจเมื่อถามว่าอยากขอร้องให้ทุกฝ่ายมองข้ามนายทักษิณ ให้เป็นเรื่องปกติปุถุชนคนธรรมดา นายสมศักดิ์ถึงกับอุทานว่า “โอ๊ย อย่าไปขอร้องอะไรเลย ใครจะมองอย่างไรก็มองไปเถอะ เราตอบคำถามได้เราก็ตอบ ชี้แจงกันไป ไม่ต้องห่วงใคร เป็นสิทธิของแต่ละคนอยากจะมอง อยากพูดอยากคิดอย่างไรโดยไม่ไปละเมิดสิทธิคนอื่นก็ว่ากันไป เรามีหน้าที่ตอบก็ตอบไป สนุกดีออก” เมื่อถามว่ากรณีนี้จะเป็นการตอกย้ำถึงการมีศูนย์กลางทางการเมืองอยู่ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า หรือการมีนายกฯ ๒ คนหรือไม่ นายสมศักดิ์ตอบว่า แล้วแต่จะคิด แต่เราไม่รู้ว่าศูนย์กลางอยู่ตรงไหน อะไร อย่างไร แต่วันนี้เรามีนายกรัฐมนตรี มีกฎหมายเป็นเครื่องมือทำงานอยู่ สั่งการดำเนินการ คนอื่นไม่มีเครื่องมือบริหารทำงานต่างๆ แต่คงไปห้ามคนอื่นคิดหรือพูดคงไม่ได้ มันเป็นเรื่องของการเมือง ทำจิต ทำใจไว้สส.เชียงใหม่ยินดี “ทักษิณ” กลับบ้านขณะที่ น.ส.ศรีโสภา โกฏคำลือ สส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกระแสข่าวนายทักษิณจะเดินทางไป จ.เชียงใหม่ จะไปรอต้อนรับหรือไม่ว่าติดภารกิจเป็นตัวแทนรัฐสภาไทยไปร่วมประชุมที่ประเทศญี่ปุ่น จะเดินทางกลับถึงไทยวันที่ ๑๔ มี.ค. ทำให้ไม่มีโอกาสเดินทางไปพบนายทักษิณในวันดังกล่าว และยังไม่ทราบรายละเอียดกำหนดการว่าจะเปิดโอกาสให้คนไปรับหรือไม่ ครั้งนี้อาจเป็นเรื่องภายในครอบครัว แต่ส่วนตัวอยากเจอ เพราะยังไม่มีโอกาสได้พบ ที่มีบางฝ่ายออกมาตั้งข้อสังเกตว่าจะเป็นเรื่องการเมืองแอบแฝง เพราะจะมีการเลือกตั้งนายก อบจ.ต้นปีหน้า ไม่อยากให้มองเช่นนั้น นายทักษิณไม่ได้กลับบ้านมานานกว่า ๑๗ ปี การอยากกลับบ้านเกิดจึงมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา ขออย่าเอามาโยงกับประเด็นการเมือง ในฐานะคนเชียงใหม่คิดว่าทุกคนคงดีใจที่นายทักษิณกลับมาบ้านเกิดที่ผ่านมาท่านทำผลงานให้ประเทศ เป็นตัวแทนคนเชียงใหม่ ที่ได้เป็นนายกฯเบรก สส.แห่พบตกเป็นเป้าสายตาน.ส.วิสาระดี เตชะธีราวัฒน์ สส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ดีใจที่นายทักษิณได้กลับบ้านที่เชียงใหม่บ้านเกิด ตอนนี้ท่านเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการชัดเจน นายทักษิณเป็นคนที่เคยทำประโยชน์ให้ประเทศอย่างสูง พิสูจน์ได้จากผลงานในอดีต ตอนนี้ท่านอายุมาก การได้กลับมาอยู่กับครอบครัวและสถานที่แรกที่อยากไปคือเชียงใหม่ เป็นสถานที่ที่อยู่ในใจท่าน จึงดีใจกับการเดินทางครั้งนี้ด้วย เมื่อถามว่าจะไปรอรับนายทักษิณหรือไม่ น.ส.วิสาระดีตอบว่า ครั้งนี้เป็นการไปไหว้บรรพบุรุษ ไม่แน่ใจว่ารายละเอียดเป็นอย่างไร ถ้าไม่มีโอกาสเดินทางไปพบครั้งนี้จะหาโอกาสไปพบอย่างแน่นอน เฝ้ารอวันที่นายทักษิณแข็งแรงจะเข้าไปกราบและขอความรู้ที่ได้เดินทางไปรอบโลกผู้สื่อข่าวรายงานว่า การเดินทางไปเชียงใหม่ของนายทักษิณครั้งนี้ มี สส.และสมาชิกพรรคเพื่อไทยอยากเดินทางไปพบจำนวนมาก แต่มีการส่งสัญญาณมาว่าไม่อยากให้คนไปพบเยอะ เพราะไม่อยากให้เป็นประเด็น และตอนนี้อยู่ในช่วงปลายสมัยประชุมสภาฯ อยากให้ สส.ทำหน้าที่ในสภาฯ ดูแลพื้นที่ของตัวเองมากกว่าคปท.จ่ออุทธรณ์พักโทษ “นายใหญ่”ที่ศาลกรมหลวงชุมพร เชิงสะพานชมัยมรุเชฐ ตรงข้ามทำเนียบรัฐบาล นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) กล่าวว่า จากกระแสข่าวนายทักษิณเตรียมเดินทางไป จ.เชียงใหม่ อาจขัดกับที่คณะกรรมการพักโทษ ระบุว่านายทักษิณป่วยจนไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ สะท้อนให้เห็นว่านายทักษิณยังคงใช้ชีวิตปกติ ต้องดูว่ากรมคุมประพฤติจะพิจารณาอย่างไรหลังจากนี้ ที่บอกว่าไปเพื่อไหว้บรรพบุรุษเป็นเพียงข้ออ้าง ก่อนหน้านี้พรรคก้าวไกลลงพื้นที่เตรียมพร้อมในการเลือกตั้งท้องถิ่น จึงตั้งข้อสังเกตว่าการที่นายทักษิณเดินทางไปครั้งนี้เพื่อกระชับอำนาจมวลชนคนเสื้อแดง กรมคุมประพฤติต้องควบคุมเรื่องนี้ให้ดี ส่วนการลงพื้นที่ของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ ที่ตรงกันพอดีนั้น มองว่าเป็นการใช้อำนาจรัฐ เพราะนายทักษิณมีอิทธิพลทางความคิดต่อพรรคเพื่อไทย ตั้งใจหวังผลทางการเมืองหรือไม่ มองว่าการพักโทษของนายทักษิณ เป็นการพักโทษที่ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองได้ คปท.กำลังพิจารณาเพื่อยื่นอุทธรณ์การพักโทษ “เรืองไกร” ขยี้ยุบ พท.หนุนแก้ ๑๑๒วันเดียวกัน นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวว่าได้รับหนังสือจากสำนักงานอัยการสูงสุด เชิญไปให้ถ้อยคำในวันที่ ๑๘ มี.ค. กรณีร้องขอให้อัยการสูงสุดส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยพรรคเพื่อไทย มีการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๔๙ หรือไม่ จะไปให้ถ้อยคำพร้อมหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมไปให้อัยการ ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งการให้พรรคเพื่อไทยยกเลิกใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพราะที่ผ่านมาปรากฏพยานหลักฐานทางสื่อต่างๆที่อาจแสดงให้เห็นว่าพรรคเพื่อไทยมีการกระทำในลักษณะแสดงความคิดเห็น พูด เขียน และสื่อความหมาย เพื่อสนับสนุนให้แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ ที่อาจจะนำไปสู่การยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ ในลักษณะที่ไม่ใช่กระบวนการทางนิติบัญญัติโดยชอบเหน็บฝ่ายค้านอย่าดราม่ากลางสภาที่พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี โฆษกพรรค รทสช. และวิปรัฐบาล กล่าวว่า การยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๕๒ ของพรรคฝ่ายค้าน ถ้าเป็นตามนี้น่าจะใช้เวลาอภิปรายแค่ ๒ วันคงเพียงพอ เพราะรัฐบาลเพิ่งเข้ามาบริหารประเทศได้ ๖ เดือน ยังไม่สามารถใช้งบประมาณปี ๒๕๖๗ ที่สำคัญขอร้องให้ฝ่ายค้านนำเนื้อหาสาระที่เป็นประโยชน์มาอภิปราย อย่ามาดราม่ากลางสภาฯเพื่อเรียกร้องความเห็นใจ สำหรับรัฐมนตรีในส่วนของ รทสช. ไม่มีใครกังวล เพราะทุกคนทำงานเต็มที่และมีผลงาน พร้อมชี้แจงหากถูกพาดพิง ที่มีข่าวว่ากระทรวงพลังงานอาจตกเป็นเป้า ไม่น่าเป็นห่วง มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ มั่นใจว่าตอบข้อซักถามฝ่ายค้านได้แน่กมธ.หั่นงบรายจ่าย ๙ พันล้านที่รัฐสภา นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย โฆษกกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี ๒๕๖๗ กล่าวถึงความคืบหน้าการพิจารณาร่าง พระราชบัญญัติงบฯ รายจ่ายปี ๒๕๖๗ ว่า พิจารณาครบทั้ง ๗๓๑ หน่วยงานแล้ว ปรับลดงบได้กว่า ๙,๐๐๐ ล้านบาท สามารถลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาสให้ประชาชนอะไรเกิดประโยชน์น้อยต้องถูกปรับลด เป็นการส่งสัญญาณเตือนถึงงบประมาณปี ๒๕๖๘ ถ้าเป็นงบเกิดประโยชน์น้อยต้องพิจารณาอย่างละเอียด จะเข้มข้นขึ้นกว่าเดิม ส่วนการอุทธรณ์งบประมาณที่ถูกปรับลดนั้น การอุทธรณ์ส่วนใหญ่จะเข้ามาในห้อง กมธ. งบฯชุดใหญ่ มีหลายหน่วยงานขอคืนงบประมาณ เช่น กระทรวงกลาโหม ที่ในชั้นอนุ กมธ.ถูกปรับลดงบซื้อเรือฟริเกต เพราะเห็นว่าข้อมูลไม่มีรายละเอียดลงลึก เช่น ซื้อจากบริษัทใด จำเป็นเร่งด่วนหรือไม่ การอุทธรณ์ในชั้น กมธ.งบฯชุดใหญ่เห็นเช่นเดียวกับอนุ กมธ. คือไม่คืนงบประมาณให้กระทรวงกลาโหม ให้ไปทำการบ้านมาใหม่ ไม่ใช่ไม่เห็นความสำคัญ เรายินดีสนับสนุนกองทัพ แต่ในสภาวะที่งบมีอยู่จำกัด ต้องจัดลำดับความสำคัญให้ถูกต้อง สามารถขอซื้อใหม่ในปีงบประมาณหน้าได้คืนงบให้ ปภ.ซื้อเครื่องบินดับเพลิงนายอนุสรณ์กล่าวต่อว่า ส่วนงบจัดซื้ออากาศ ยานปีกหมุนดับเพลิง ประเทศรัสเซีย ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ที่อนุ กมธ.ตัดงบประมาณส่วนนี้ออกไปทั้งหมดมูลค่า ๙๕๐ ล้านบาท แต่เมื่ออุทธรณ์เข้ามาในห้อง กมธ.ชุดใหญ่ ได้พิจารณาถึงเหตุผลและงบประมาณที่มีอยู่ จึงคืนการจัดซื้อให้ทั้งหมด การประชุม กมธ.ครั้งสุดท้าย ในวันที่ ๑๓ มีนาคมนี้ จะตรวจสอบรายมาตราและรับรองการประชุม ก่อนส่งเข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาวาระ ๒-๓ ในวันที่ ๒๐-๒๑ มีนาคมนี้ปลอบ ทร.ถูกตีตกซื้อเรือฟริเกตช่วงเช้าที่โรงแรมอวานี พลัส ริเวอร์ไซด์ นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกลาโหม เป็นผู้แทนนายกรัฐมนตรี มอบนโยบายแนวทางการปฏิบัติงานของศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) มี พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผบ.ทร. พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม นายสุทินกล่าวถึงกรณีกมธ.งบประมาณรายจ่ายปี ๒๕๖๗ ตีตกคำอุทธรณ์กองทัพเรือในการจัดซื้อเรือฟริเกตว่า กมธ.ได้สะท้อนปัญหาว่าถ้าจะให้ทั้งเรือฟริเกตและเรือดำน้ำในปีเดียวกัน งบประมาณกระทรวงกลาโหมจะโป่งขึ้น สวนทางนโยบายรัฐบาลที่จะลดบุคลากรและงบประมาณลงหรือไม่ จึงต้องปรับแผน แต่ยืนยันโครงการจัดหาเรือฟริเกตยังเป็นไปตามแผน แต่ระยะเวลาต้องปรับเปลี่ยน อาจไม่ใช่งบฯปี ๒๕๖๗ ขยับไปปีอื่นอย่างปี ๒๕๖๘ ขณะนี้เรื่องเรือดำน้ำอาจได้ข้อสรุปมีแนวโน้มต้องจัดงบซื้อเรือดำน้ำ ห่วงว่างบประมาณจะไม่พอต้องทำทีละอย่าง กมธ.คุยกับรัฐบาลก็มีความเห็นเช่นนี้ เมื่อถามว่างบประมาณปี ๒๕๖๘ จะไปชนกับกองทัพอากาศที่ขอจัดซื้อเครื่องบินขับไล่ จะดันเพดานงบกระทรวงกลาโหมสูงอีกเช่นกัน นายสุทินตอบว่า เป็นเรื่องที่กระทรวงกลาโหมต้องบริหารจัดการให้ดี ทุกอย่างอยากให้เป็นไปตามแผนของเหล่าทัพ แต่จะสลับปรับเปลี่ยนอย่างไรเป็นเรื่องที่กำลังทำอยู่เคาะข้อสรุปซื้อเรือดำน้ำต่อผู้สื่อข่าวถามว่างบประมาณ ๑,๗๐๐ ล้านบาท จัดซื้อเรือฟริเกตของกองทัพเรือ จะนำเข้างบกลาง หรือคืนให้กองทัพเรือ นายสุทินตอบว่า หากเป็นไปตามระบบต้องนำเข้างบกลาง แต่ถ้ากองทัพเรืออยากได้เงินส่วนนั้นมาทำภารกิจอื่น เช่น ซ่อมบำรุงยุทโธปกรณ์ ต้องทำเรื่องขึ้นมาให้ทันก่อนวันที่ ๒๖ มี.ค. ที่จะปรับปรุงงบประมาณรอบสุดท้าย เชื่อว่ารัฐบาลจะพิจารณาให้กลับมาเป็นประโยชน์กับกองทัพเรือ ส่วนความคืบหน้าการหาข้อสรุปโครงการเรือดำน้ำ น่าจะได้ข้อสรุปเร็ววันนี้ น่าจะต้องเป็นเรื่องที่ใช้จ่ายงบประมาณในการจัดหาเรือดำน้ำ แต่จะเป็นที่ไหนอย่างไรต้องฟังคณะทำงาน ส่วนความเป็นไปได้การยกเลิกเรือดำน้ำจีน แล้วไปจัดหาจากชาติอื่น ต้องไปสอบถามคณะทำงาน แต่แนวทางเปลี่ยนเรือดำน้ำเป็นเรือชนิดอื่นเป็นไปไม่ได้แล้ว จากการสอบถาม พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา ที่ปรึกษา รัฐมนตรีว่าการกลาโหม ประธานคณะทำงานพิจารณาโครงการเรือดำน้ำ บอกว่าต้องเป็นเรือดำน้ำ ส่วนจะเป็นเรือที่ไหนอย่างไร ยังคุยกันไม่เสร็จ คาดว่าไม่เกิน ๑ เดือนเย้ยฝ่ายค้านซักฟอกเหวี่ยงแหนายสุทินยังกล่าวถึงกรณีฝ่ายค้านจะยื่นอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๕๒ ว่า ยังไม่ทราบรายละเอียดและเนื้อหาที่ฝ่ายค้านจะอภิปราย คาดว่าจะเป็นเรื่องโดยรวม น่าจะเป็นการอภิปรายเหวี่ยงแหไปทุกที่ ทุกกระทรวง ฝ่ายค้านต้องคิดว่าเป็นการทำคะแนนนิยมของตนเอง และทำลายความนิยมฝ่ายตรงข้าม แต่ไม่มีอะไรหนักใจ ส่วนที่พรรคประชาธิปัตย์เตรียมจะอภิปรายเรื่องนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และกระบวนการยุติธรรมนั้น มีการชี้แจงมาเป็นลำดับตามระบบกฎหมาย ยืนยันไม่หนักใจ เรื่องนี้เป็นเรื่องของความรู้สึกมากกว่า เชื่อมั่นรัฐบาลรับมือการอภิปรายได้ ไม่ได้กลัว ไม่หนักใจ แต่เชื่อว่าฝ่ายค้านคงกลัวตกคิว สว. เมื่อเห็นการอภิปรายของ สว. จึงเปิดอภิปรายบ้างก็เท่านั้นเองโยนบัวแก้วชี้สถานะเกาะกูดนายสุทินกล่าวถึงการเดินทางไปประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (จีบีซี) ไทย-กัมพูชา ระหว่างวันที่ ๒๑-๒๒ มี.ค. ที่ตรงกับช่วงเวลาการเดินทางไปเยือนกัมพูชาของคณะ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย อาจเกี่ยวพันเรื่องผลประโยชน์ด้านพลังงานว่า เป็นวาระปกติที่มีมาก่อนแล้ว มีการประชุมทุกปีไม่เกี่ยวกับเรื่องอื่น ส่วนที่กลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) เรียกร้องให้ รัฐมนตรีว่าการกลาโหมพูดให้ชัดเรื่องสถานะของเกาะกูดนั้น คิดว่าทหารหรือกลาโหมจะไปพูดชัดเลยไม่ได้ ไม่ใช่หน้าที่โดยตรง แต่เป็นหน้าที่กระทรวงต่างประเทศ การจะไปพูดออกหน้าหรือล้ำหน้าไปก็ไม่ถูก ต้องพูดตามบทหน้าที่กระทรวงกลาโหมเท่านั้นปรับภูมิทัศน์เพื่อหน้าตาประเทศอีกเรื่อง นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการใช้งบประมาณ ๑๓๘ ล้านบาท ปรับภูมิทัศน์ทำเนียบรัฐบาลเตรียมรับแขกบ้านแขกเมืองว่า ไม่รู้ แต่เวลาแขกไปใครมาต้องดูสวยงาม ที่บ้านภรรยาก็พยายามปรับอยู่ตลอด มองว่าเป็นเรื่องของมนุษย์ ความชอบ ที่สำคัญเป็นหน้าตาของบ้านเมือง ต้องปรับบ้างไม่เห็นเป็นอะไรเลย เมื่อถามว่ามีการวิพากษ์วิจารณ์ใช้งบประมาณค่อนข้างมาก นายสมศักดิ์ตอบว่า ถ้ามีเงินมาก เราก็ปรับ ถ้าไม่มีเงินมากก็รอไปก่อน เมื่อถามว่างบฟอกอากาศในตึกไทยคู่ฟ้าแพงไปหรือไม่ นายสมศักดิ์ตอบว่า ไม่ทราบเรื่องการใช้งบประมาณ เพราะไม่ได้เป็นคนทำ ส่วนจะเป็นเรื่องฮวงจุ้ยของรัฐบาลหรือไม่ ก็แล้วแต่ใครจะคิด“สุชัชวีร์”สอนผู้นำปรับโฟกัสงานนายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ เดินทางไปต่างประเทศตลอดช่วง ๖ เดือนที่ผ่านมารวม ๑๔ ประเทศ ว่า แม้การแนะนำตัวเป็นเรื่องจำเป็น แต่ต้องไม่ไปแบบฉาบฉวย ต้องจัดลำดับความสำคัญให้ดี ปัญหาในประเทศไทยส่วนใหญ่มาจากการศึกษา แต่นายกฯกลับไม่พูดถึงเรื่องนี้ทั้งที่การสร้างคนเป็นเรื่องที่จำเป็นที่สุด ขณะที่นายลอเรนซ์ หว่อง รัฐมนตรีว่าการคลังของสิงคโปร์ ที่คาดว่าจะเป็นนายกฯคนต่อไป แสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับเรื่องการศึกษาเป็นเรื่องแรกๆ “เรื่องที่ท่านไปต่างประเทศ ผมไม่ว่า แต่งานที่สำคัญคือเรื่องการศึกษาของเด็กไทย เป็นรากลึกของสังคมไทย ท่านกลับไม่พูดเลย ท่านต้องพูดถึงแนวทางการแก้ปัญหานี้ด้วย ไม่ต้องไปโยนให้กระทรวงอื่น และต้องแสดงบทบาทผู้นำว่าจับอะไรแล้วสำเร็จ ไม่ใช่จับแล้วปล่อยๆ ตรงนี้นายกฯเศรษฐาต้องปรับปรุง”“หนู” อ้อนคนรับใช้ชาวศรีสะเกษที่หอประชุมทีปังกรรัศมีโชติ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ จ.ศรีสะเกษ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการมหาดไทย พร้อม พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการศึกษาธิการ ร่วมชมนิทรรศการผลการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล โดยนายอนุทินมอบนโยบายแก่ ผวจ.ศรีสะเกษ และทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง บูรณาการความร่วมมือขับเคลื่อนนโยบายให้ จ.ศรีสะเกษ ก้าวสู่ความเจริญในอีกระดับจากเมืองรองสู่เมืองหลัก ต่อมาที่โรงเรียนกำแพง อ.อุทุมพรพิสัย นายอนุทินกล่าวมอบนโยบายต่อหัวหน้าส่วนราชการว่า วันนี้เป็นตายอย่างไรต้องมาถึงศรีสะเกษให้ได้ เพราะให้ความไว้วางใจพรรคภูมิใจไทยมี สส. “โฆษกบนเวทีพูดผิดไปนิดว่าวันนี้ช้างเหยียบนาพญาเหยียบเมือง อยากบอกว่าจะบ้าหรือ เพราะวันนี้คนรับใช้มารายงานตัวเจ้านายมารับใช้ชาวศรีสะเกษ จะให้มาเป็นช้างเหยียบนาพญาเหยียบเมืองที่ไหน ไม่มี แม้วันนี้ยังได้ไม่ครบทั้งจังหวัด แต่ไม่มีปัญหา ครั้งนี้จะทำงานการเมืองอย่างดุเด็ดเผ็ดมัน ให้เกิดความมั่นใจว่าเที่ยวหน้าคนที่มายืนบนเวทีนี้เป็นคนศรีสะเกษจะมากกว่านี้แน่นอน”นายกฯลุยสร้างสังคมเท่าเทียมวันเดียวกันเวลา ๑๒.๑๐ น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ทวีตข้อความผ่าน X เนื่องในวันสตรีสากล ประจำปี ๒๕๖๗ ว่า การเสริมพลังสตรีและเด็กหญิง ขจัดความยากจน สู่ความเท่าเทียมระหว่างเพศบนพื้นฐานครอบครัวที่อบอุ่น เนื่องในวันสตรีสากล สำหรับตนสิทธิสตรีคือสิทธิมนุษยชน อยากให้ก้าวข้าม ร่วมกันขจัดอคติทางเพศ มองเห็นทุกคนในฐานะมนุษย์มากกว่าความเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ในฐานะนายกฯและรัฐบาลจะพยายามอย่างเต็มที่ผลักดันทุกมาตรการ และนโยบายเพื่อขจัดอคติทางเพศ ทั้งในมิติกฎหมาย มิติวัฒนธรรม เพราะคืออุปสรรคผู้หญิงและเด็กหญิงเข้าถึงโอกาสทั้งการศึกษา การประกอบอาชีพ ไปจนถึงการปกป้องตัวเองจากความรุนแรงทั้งร่างกาย จิตใจอันเกิดจากคติของสังคมชายเป็นใหญ่ เพื่อสร้างสังคมที่ทุกคนมีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียม ก้าวข้ามอคติทางเพศเดินไปสู่สังคมที่เคารพความเป็นมนุษย์ บนฐานครอบครัวที่อบอุ่นร่วมกัน empower หรือให้อำนาจผู้หญิงและเฉลิมฉลองประวัติศาสตร์การต่อสู้ของผู้หญิงด้วยกัน“ปู” ปลุกผู้หญิงทวงคืนศักดิ์ศรีขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊กวันสตรีสากลว่า สิทธิสตรี คือ สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ทุกคนมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน ทุกคนคือคนเท่ากันในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งไม่ว่าจะอยู่ในบทบาทไหน สิทธิที่ควรได้รับต้องไม่แตกต่างกัน เนื่องในวันสตรีสากลขอให้ผู้หญิงทุกคนเชื่อมั่นในคุณค่า และศักยภาพตัวเราเอง ขอส่งกำลังใจให้ทุกคนกล้าลุกขึ้นต่อสู้เพื่อคืนศักดิ์ศรีให้ตัวเองทุกกรณี เป็นหน้าที่ของรัฐที่จะช่วยเหลือให้ผู้หญิงที่กล้ายืนหยัดได้มีหนทางช่วยเหลือตัวเองต่อไปอย่างมีศักดิ์ศรี ก่อนหน้านี้ภายใต้รัฐบาลตน เคยก่อตั้ง “OSCC” One Stop Crisis Center หรือศูนย์ช่วยเหลือสังคม ช่วยเหลือเด็ก สตรี ผู้สูงอายุ และคนพิการ เพื่อสร้างความเสมอภาคเท่าเทียมในสังคม วันนี้ยังเห็นการทำงานของศูนย์นี้ หวังจะเป็นทางสายเล็กๆที่ขยายเป็นทางสายใหญ่ให้ผู้หญิงทุกคนเดินต่อไป เหมือนเช่นเดิมที่ก่อตั้งไว้ ยังเชื่อเสมอว่า หากเรามองเห็นคุณค่าตัวเอง จะไม่มีวันยอมให้ใครมาลดทอนคุณค่าของเราอ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่
ชวนลงทุน ๑๒ ยักษ์เอกชนฝรั่งเศส "เศรษฐา" เสนอลดหย่อนภาษี
Related posts