ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ แถลงผลงานและนโยบายประจำปีต่อรัฐสภา หรือ สเตท ออฟ เดอะ ยูเนียน ด้วยการกล่าวโจมตีนายโดนัลด์ ทรัมป์ และนายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซียประธานาธิบดีโจ ไบเดน กล่าวโจมตี อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่อ่อนข้อให้รัสเซีย รวมถึงการเพิกเฉยต่อเรื่องโควิด-๑๙ และเหตุจลาจลรัฐสภาเมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๖๔ ในการแถลงผลงานและนโยบายประจำปีต่อรัฐสภา หรือ สเตท ออฟ เดอะ ยูเนียนไบเดน เปิดการแถลงด้วยการวิพากษ์วิจารณ์ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน ที่สนับสนุนให้ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน รุกรานประเทศอื่นๆ ในองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือนาโต ที่ไม่เพิ่มการจ่ายเงินสมทบนาโต โดยกล่าวว่าการกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ อันตราย และยอมรับไม่ได้ นอกจากนั้น นายไบเดน ซึ่งผลักดันให้สภาคองเกรสจัดหาเงินทุนเพิ่มเติมแก่ยูเครนในการทำสงครามกับรัสเซีย ยังได้ส่งสารถึงปูตินว่าสหรัฐฯ จะไม่ละทิ้งยูเครนไบเดนยังได้แสดงความเห็นแย้งกับทรัมป์ ผู้ท้าชิงจากพรรครีพับลิกันในการเลือกตั้งวันที่ ๕ พ.ย. เกี่ยวกับเรื่องประชาธิปไตย สิทธิในการทำแท้ง และเศรษฐกิจ ในระหว่างการแถลงที่พรรคเดโมแครตมองว่าเป็นโอกาสสำคัญสำหรับไบเดนที่จะสร้างโอกาสในการรับตำแหน่งต่อเป็นสมัยที่สอง ต่อชาวอเมริกันหลายล้านคนที่รับชมการแถลงทางโทรทัศน์ไบเดนยังกล่าวหาว่า ทรัมป์และพรรครีพับลิกันพยายามเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่เกี่ยวกับเหตุจลาจลบุกรัฐสภาในกรุงวอชิงตัน ดีซี เมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๖๔ โดยกลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์ที่ไม่ยอมรับชัยชนะของไบเดนในการเลือกตั้งปี ๒๕๖๓ ไบเดนกล่าวว่า ทรัมป์พยายามปกปิดความจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันนั้น ซึ่งเขาจะไม่ทำอย่างนั้น ซึ่งเป็นสัญญาณว่าเขาจะเน้นย้ำประเด็นนี้ในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งนอกจากนี้ เขายังกล่าวโจมตีพรรครีพับลิกันที่พยายามยกเลิกข้อกำหนดด้านการรักษาพยาบาลภายใต้พระราชบัญญัติที่มีชื่อว่า “รัฐบัญญัติคุ้มครองผู้ป่วยและการดูแลที่จ่ายได้” (The Patient Protection and Affordable Care Act) หรือที่เรียกว่า “โอบามาแคร์” ที่ส่งผลให้สหรัฐฯ มียอดขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้น และตำหนิรีพับลิกันที่รับเงินจากกฎหมายที่พวกเขาคัดค้านด้านทรัมป์ได้แสดงความเห็นบนแพลตฟอร์ม “ทรูธ โซเชียล” ของเขา ด้วยการกล่าวถึงไบเดนว่ามีท่าทีโกรธเกรี้ยวในขณะแถลง ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของคนที่รู้ว่าพวกเขากำลัง “สูญเสียตำแหน่ง” และกล่าวว่า “ความโกรธไม่ช่วยนำประเทศของเรากลับมาสามัคคีได้”ผลสำรวจความคิดเห็นระบุว่า ไบเดน วัย ๘๑ ปี และทรัมป์ วัย ๗๗ ปี ได้รับความนิยมสูสีกันในการแข่งขันครั้งนี้ ขณะที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวอเมริกันส่วนใหญ่ไม่กระตือรือร้นกับการเลือกตั้งครั้งนี้ หลังจากที่ไบเดนเอาชนะทรัมป์เมื่อสี่ปีก่อนไบเดนยังเน้นย้ำถึงการสนับสนุนสิทธิในการทำแท้ง และให้คำมั่นที่จะทำให้เรื่องนี้ถูกต้องตามกฎหมาย หากชาวอเมริกันลงคะแนนเสียงให้ สส.จากพรรคเดโมแครต ครองเสียงข้างมากในสภามากพอ นอกจากนี้ เขายังพยายามที่จะแผนเพื่อให้ชาวอเมริกันและบริษัทที่ร่ำรวย ที่มีทรัพย์สินเกิน ๑๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว ๓,๕๕๕ ล้านบาท) ต้องจ่ายภาษีเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม แผนการปฏิรูปภาษีดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อพรรคเดโมแครตได้รับเสียงข้างมากในทั้งสองสภา ในการเลือกตั้งในวันที่ ๕ พฤศจิกายน นอกจากนั้น ไบเดนยังเสนอมาตรการเพื่อลดต้นทุนที่อยู่อาศัย ซึ่งรวมถึงเครดิตภาษี ๑๐,๐๐๐ ดอลลาร์สำหรับผู้ซื้อบ้านครั้งแรก ในขณะเดียวกันก็กล่าวถึงความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ภายใต้การดำรงตำแหน่งของเขาผู้นำสหรัฐฯ ยังใช้สุนทรพจน์ครั้งนี้ เพื่อผลักดันแพ็กเกจความช่วยเหลือด้านอาวุธมูลค่า ๙๕ พันล้านดอลลาร์ให้กับยูเครนและความช่วยเหลืออิสราเอล ซึ่งถูกยับยั้งโดยนายไมค์ จอห์นสัน ประธานสภาผู้แทนราษฎรของพรรครีพับลิกัน.ที่มา Reutersติดตามข่าวต่างประเทศเพิ่มเติมที่ https://www.thairath.co.th/news/foreign
