Thursday, 19 December 2024

ศาล ยกฟ้อง "ธนาธร" ฟ้องหมิ่นฯ "วรงค์" คดี ๑๑๒ ชี้ ใช้สิทธิตามกฎหมาย

ศาลอาญา ยกฟ้องคดี “ธนาธร” ฟ้องหมิ่นฯ “หมอวรงค์” พาดพิงสนับสนุนล้มล้างการปกครอง ศาล ชี้ ที่จำเลยโพสต์ เป็นการแจ้งล่วงหน้าจะดำเนินคดีคดี ๑๑๒ เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย ปูด มีบางพรรคปล่อยคลิป ชวนเข้าแคมป์ หวั่น เลือก สว.ไม่เป็นกลางเมื่อวันที่ ๑๒ มี.ค. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดี คดีดำ อ.๒๘๐/๒๕๖๔ ที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เป็นโจทก์ฟ้อง นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา พร้อมเรียกค่าเสียหาย ๒๔,๐๖๒,๔๗๕ บาท เกี่ยวกับกรณีที่ นพ.วรงค์ ไลฟ์สดกล่าวหาทำนองว่า นายธนาธร สนับสนุนเกี่ยวข้องกับปฏิรูปสถาบัน อันเป็นการล้มล้างการปกครอง จากการแถลงข่าวจะจัดตั้งพรรคไทยภักดีเเละไลฟ์สดเฟซบุ๊ก เหตุเกิดช่วงวันที่ ๒๐ ม.ค.-๔ ก.พ. ๒๕๖๔โดยในวันนี้ นพ.วรงค์ เดินทางมาศาล พร้อมมีมวลชนมาให้กำลังใจ ส่วน นายธนาธร ไม่ได้เดินทางมาศาลโดย นพ.วรงค์ ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าฟังคำพิพากษา ระบุว่า คดีดังกล่าวมีที่มาที่ไป จากการที่ตนเองประกาศตั้งพรรคไทยภักดี เพื่อมีเป้าหมายในการต่อสู้กับพรรคก้าวไกล รวมถึงต่อสู้กับคณะก้าวหน้า และม็อบ ๓ นิ้ว ที่มีการพาดพิงถึงขบวนการล้มล้างการปกครอง นำไปสู่การฟ้องร้องถึง ๒ คดี โดยคดีแรกเป็นกรณีที่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล และพรรคก้าวไกล เป็นผู้ฟ้องร้องตนเอง ในข้อหาหมิ่นประมาท ส่วนคดีนี้คือคดีที่ นายธนาธร ฟ้องตนเองในข้อหาหมิ่นประมาทเช่นกัน เนื่องจากคดีนี้มาจากเหตุการณ์เดียวกัน แต่มีการแยกฟ้องคดีสำหรับคดีที่ นายพิธา หรือพรรคก้าวไกล ผู้ฟ้องร้องตน ศาลได้พิพากษายกฟ้องว่า ตนเองว่าไม่ได้มีการหมิ่นประมาท โดยทราบภายหลังว่าพรรคก้าวไกลได้ยื่นอุทธรณ์ ซึ่งไม่ว่าจะมีคำวินิจฉัยหรือคำพิพากษาจากศาลอย่างไร ยืนยันว่าในการต่อสู้ที่ผ่านมา เป็นการต่อสู้ในข้อเท็จจริง และจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ทราบว่าศาลได้ยกคำร้องในหลายประเด็น โดยเฉพาะเรื่องการสนับสนุนการล้มล้างการปกครองเป็นประเด็นที่ใหญ่ ที่มีการสืบพยานมาอย่างยาวนาน และมีความเชื่อมโยงไปถึงพรรคก้าวไกล ซึ่งตนชนะคดี และศาลตัดสินคดีส่วนตัวที่เกี่ยวกับ นายธนาธร ศาลตัดออก จึงเหลือประเด็นแค่ที่ตนเองกล่าวหาว่า นายธนาธร จะถูกดำเนินคดีมาตรา ๑๑๒นพ.วรงค์ กล่าวต่อว่า ตนเองเชื่อมั่นในข้อมูล และพยานหลักฐานต่างๆ เพราะทุกคำพูดตนเอามาจากสื่อทั้งสิ้น ไม่ใช่สร้างหรือมโนขึ้นมาเอง ตนก็ได้ชี้ให้ศาลเห็นว่าการดำเนินคดีมาตรา ๑๑๒ เกิดขึ้นจริง และตนได้เป็นพยานในการเบิกความด้วย แต่ศาลจะตัดสินอย่างไร อีกไม่นานก็คงรู้คำตอบเมื่อถามว่า หากยกฟ้องจะมีการฟ้องร้องกลับหรือไม่ นพ.วรงค์ กล่าวว่า ส่วนตัวไม่ชอบมีคดีความ ชีวิตทางการเมืองก็เคยฟ้องร้องแค่หนึ่งคดี และชนะด้วย เล็กๆ น้อยๆ ถือว่าเป็นการทำบุญ ซึ่งพวกเราเป็นนักการเมือง และบอกว่าเป็นนักประชาธิปไตย จะต้องรับฟัง โดยตนเองก็รับฟังเขามาตลอด อะไรที่ไม่ถูกต้องตนก็ได้ชี้แจง แต่เวลาที่ตนเองแสดงความคิดเห็นบนหลักการ ก็ขอให้รับฟังตนบ้าง ไม่ใช่ฟ้องนพ.วรงค์ ยังฝากถึงสังคมด้วยว่า การฟ้องร้องของ นายธนาธร ได้เรียกค่าเสียหาย ๒๔,๐๖๒,๔๗๕ บาท ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของวันเปลี่ยนแปลงการปกครองทั้งสิน และมีนัยทางการเมือง ฉะนั้นหากจะอ้างว่าเป็นนักประชาธิปไตยที่แท้จริง ก็ต้องรับฟังพวกเรา อะไรที่ถูกหรือผิดก็ต้องไตร่ตรอง ไม่ใช่การฟ้องกลับ และคนที่มีความเห็นที่ขัดแย้งก็ถูกเขาฟ้องร้องเยอะมาก และเมื่อมีการฟ้องจะต้องมีการวางเงินไม่น้อยกว่า ๒๐๐,๐๐๐ บาท ที่ไม่รวมค่าทนาย ซึ่งเขาสูญเสียเงินเยอะมากในการปิดปากประชาชน และถือว่าไม่ใช่ของจริงโดยศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าข้อความที่จำเลยโพสต์ จึงเป็นการแจ้งล่วงหน้าให้ทราบว่าจำเลยจะไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินคดีกับโจทก์ในความผิดมาตรา ๑๑๒ ในภายหน้า อันเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย ไม่ทำให้ผู้ที่ได้อ่านหรือประชาชนทั่วไป ซึ่งเป็นบุคคลที่เข้าใจไปได้ว่าโจทก์กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ อันจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังแต่อย่างใด ข้อความดังกล่าวจึงมิได้มีเนื้อหาหมิ่นประมาทโจทก์ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา พิพากษายกฟ้องจากนั้นเวลา ๐๙.๔๕ น. นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี ให้สัมภาษณ์หลังเข้าฟังคำพิพากษา ว่า วันนี้ นายธนาธร ไม่ได้เดินทางมาที่ศาล มีเพียงผู้รับมอบอำนาจเดินทางมาเท่านั้น ซึ่งตนชนะคดีหลังจากที่เขาฟ้องเป็นครั้งที่ ๓ ซึ่งตนอยากบอกว่า การที่พวกคนที่ฟ้องคนอื่น หรือฟ้องประชาชนพร่ำเพรื่อ นอกจากจะเสียเงินเยอะแต่ละคดี และเรียกค่าเสียหาย ๒๔,๐๖๒,๔๗๕ บาท คนพวกนี้อ่อนประสบการณ์ วันใดที่บริหารประเทศด้วยการอ่อนประสบการณ์แบบนี้ จะทำให้ประเทศเสียหายและล่มจมวันนี้ แม้จะเป็นคำพิพากษาศาลชั้นต้น เขามีสิทธิที่จะอุทธรณ์ แต่ตนจะต่อสู้ด้วยข้อเท็จจริง มีพยานหลักฐาน ไม่ใช่มีเพียงแค่พยานบุคคล และตนถูกฝึกให้พูดความจริง เวลาตนโพสต์ข้อมูลผ่านโซเชียลมีเดียจะมีเอกสารอ้างอิงหมด ซึ่งตนไม่เคยกลัว เพียงแต่เรื่องนี้ทำให้เสียเวลา นอกจากนี้ขอให้มาพูดคุยกันอย่างลูกผู้ชาย ไม่ว่าจะผ่านเวทีไหนก็ได้ โดยเฉพาะเรื่องมาตรา ๑๑๒ ขณะที่ฝากไปถึงประชาชน ช่วงนี้มีบางพรรคการเมืองปล่อยคลิปวิดีโอรณรงค์เชิญชวนเข้าแคมป์ สร้างเจตนารมณ์ก่อนจะให้มีการไปสมัครวุฒิสภา ซึ่งเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญต้องการให้เป็นกลาง ไม่ควรมีพรรคการเมืองเข้าไปยุ่ง หรือเชิญชวนเข้าแคมป์ดังกล่าว เพราะมองว่าเป็นการฝักใฝ่ และทำให้เจตนารมณ์ของ สว.มีปัญหา