สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยคาดการณ์ “ตลาดยานยนต์” เติบโตอย่างต่อเนื่อง ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ ๗.๕ แสนคัน และผลิตเพื่อส่งออก ๑.๑๕ ล้านคันนายสุวัชร์ ศุภกาญจน์เดชากุล นายกสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย กล่าวว่า ในปี ๒๕๖๗ เราคาดการณ์ว่าการผลิตรถยนต์ของไทยโดยรวมที่ ๑.๙ ล้านคัน เติบโตขึ้นจากปีที่ผ่านมาประมาณ ๓.๑๗% โดยแบ่งเป็นผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ ๗.๕ แสนคัน และผลิตเพื่อส่งออก ๑.๑๕ ล้านคันสำหรับตัวเลขรถจักรยานยนต์ คาดการณ์ยอดผลิตที่ ๒.๑๒ ล้านคัน เติบโตจากปีที่ผ่านมาประมาณ ๐.๐๓% โดยปัจจัยที่ส่งผลต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทยปี ๒๕๖๗ แบ่งเป็น ๓ ด้าน ๑. ภาวะทางเศรษฐกิจ – ภาระหนี้สินภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงและหนี้เสีย (NPLs) ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่องส่งผลกระทบโดยตรงต่ออำนาจซื้อของประชาชนที่ลดลงและยอดการจำหน่ายรถยนต์ภายในประเทศ- สถานการณ์ความเข้มงวดของการอนุมัติสินเชื่อรถยนต์ที่เข้มงวดมากขึ้น เนื่องจากมูลค่าและแนวโน้มหนี้เสียที่เพิ่มสูงขึ้น- รถยนต์มือสองราคาตก เนื่องจากปริมาณซัพพลายล้นตลาด- ความขัดแย้งระหว่างประเทศที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องและยาวนาน เช่น ความขัดแย้งของรัสเซีย-ยูเครน ๒. นโยบายและกฎระเบียบด้านยานยนต์- การบังคับใช้มาตรฐานมลพิษระดับ ยูโร ๕ ทั้งรถยนต์และน้ำมัน ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๗ เป็นต้นไป ส่งผลให้ราคารถยนต์และน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น- มาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าหรือ EV ๓.๐, EV ๓.๕ และมาตรการส่งเสริมการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ รถบัสไฟฟ้าและรถบรรทุกไฟฟ้า (E-Bus & E-Truck) โดยให้บริษัท สามารถนำค่าใช้จ่ายในการซื้อรถโดยสารไฟฟ้าและรถบรรทุกไฟฟ้ามาใช้งานมาหักค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ – การมุ่งสู่สังคมความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality Society) ภายในปี พ.ศ. ๒๕๙๓ ตามที่รัฐบาลได้แสดงเจตนารมณ์ไว้เมื่อการประชุมสมัชชาประเทศว่าด้วยเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ COP ๒๖ ที่สกอตแลนด์เมื่อปี ๒๕๖๔ โดยมีการผลักดัน พระราชบัญญัติอากาศสะอาด และพ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ๓. การค้าระหว่างประเทศ- ปัจจุบันประเทศไทยมีข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศแล้วจำนวนทั้งสิ้น ๑๕ ฉบับ ๑๙ ประเทศคู่ค้า และอยู่ระหว่างการเจรจาอีก ๕ ฉบับ โดยมีฉบับสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย เช่น ข้อตกลงการค้าไทย-ยุโรป, ไทย-สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (EFTA), ไทย-เกาหลีใต้- มาตรการกีดกันทางการค้า (Non Trade Barrier) เช่น มาตรฐานประสิทธิภาพการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสำหรับรถยนต์ใหม่ (New Vehicle Efficiency Standard: NVES) คาดว่าจะบังคับใช้ตั้งแต่ปี ๒๕๖๘ เป็นต้นไป โดยเป็นการกำหนดเกณฑ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากรถยนต์ที่นำเข้าไปยังประเทศออสเตรเลีย ทั้งรถยนต์นั่งและรถกระบะนายสุวัชร์ กล่าวต่อว่า ส่วนแนวโน้มรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV ในไทย มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ยอดจดทะเบียนรวม ๑.๐-๑.๒ แสนคัน และส่วนใหญ่เป็นรถยนต์นั่ง จากการตระหนักถึงความสำคัญของการลดภาวะโลกร้อนโดยการใช้รถไฟฟ้าจากประชาชนชาวไทย รวมถึงมาตรการการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าจากภาครัฐ อย่างไรก็ตามประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์สันดาปภายใน หรือ ICE มาอย่างยาวนาน สร้าง Supply Chain และ Value Chain ที่เข้มแข็ง ครอบคลุมตั้งแต่อุตสาหกรรมต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ รวมทั้งก่อให้เกิดการจ้างงานจำนวนมาก ดังนั้น การรักษาฐานการผลิตรถยนต์สันดาปไว้ จึงเป็นสิ่งสำคัญในช่วงการเปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า หรือ EVอีกทั้งสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยพร้อมสนับสนุนและให้ความร่วมมือในการสร้างสังคมที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน เพื่อลดการปล่อยมลพิษและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ใช้ตามโนบาย เป้าหมายในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน หรือ Carbon Neutrality ภายในปี ๒๐๕๐ ของรัฐบาลผ่านนโยบายต่างๆเช่น ๓๐@๓๐ เพื่อเพิ่มสัดส่วนการใช้ และการผลิตรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ การปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ ปี ๒๕๖๙ เพื่อส่งเสริมรถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
คาดไทยผลิตและส่งออกรถยนต์ทั่วโลก ๑.๑๕ ล้านคัน ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกผันผวน
Related posts