Thursday, 19 December 2024

"จตุพร" ถอดรหัส “พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล” ผิดฟอกเงิน แนะลาออก เลือกเปิดทางการเมือง

“จตุพร” ถอดรหัสผลสอบ “พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล” ผิดฟอกเงิน คาด “วินัย” ส่งสัญญาณอย่าทำสงครามเมื่อไม่มีโอกาสชนะ เตือนถูกคดีอาญา สอบวินัยจะตามมา แนะลาออก เลือกเปิดทางการเมือง ขืนก้มหน้าสู้ มีโอกาสแพ้ ทุกทางถูกปิด อนาคตจบเห่วันที่ ๖ เม.ย. ๖๗ นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์เมื่อวันที่ ๕ เม.ย. ว่า พล.ต.อ.วินัย ทองสอง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) แถลงผลตรวจสอบเบื้องต้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เข้าข่ายผิดฟอกเงินจากการพนันออนไลน์ ส่วน พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล หรือ บิ๊กต่อ ผบ.ตร. อยู่ระหว่างการสอบสวนอย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.วินัย เป็นหนึ่งในสามคณะกรรมการชุด นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และประธาน กรมตำรวจตั้งขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีความขัดแย้งในคดีระหว่าง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ซึ่งมีเรื่องส่วยพนันออนไลน์เข้ามาพัวพันด้วย“ผลสอบที่ พล.ต.อ.วินัย แถลงว่า พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล เข้าข่ายผิดฟอกเงิน แสดงถึงการส่งสัญญาณไม่แตกต่างจากการออกหมายเรียกแล้วตามด้วยหมายจับ ดังนั้นโอกาส พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล จะไปถึง ผบ.ตร. จึงยากขึ้น และควรคิดตั้งหลักจะสู้ต่อ หรือถอย เพราะคดีอาญาเมื่ออยู่ในชั้นศาลย่อมถูกสอบวินัยตามมา และยังมีคำสั่งให้พัก หรือให้ออกจากราชการไว้ก่อน ด้วยเหตุนี้ผลสอบเบื้องต้นเท่ากับเป็นการเตือนเพื่อให้ตัดสินใจ”นายจตุพร กล่าวว่า การเตือนนี้ดูเหมือนมุ่งเน้นให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล เลือกลาออกจากราชการ เพื่อยุติการสอบวินัย ซึ่งในอนาคตมีโอกาสได้เข้าสู่สนามการเมือง หากยังขืนเดินเข้าสู่แดนให้สอบวินัยแล้ว ถ้าผลสอบมีโทษถึงขั้นไล่ออก ปลดออกแล้ว เท่ากับปิดประตูเข้าสู่การเมืองด้วย ขณะที่คดีอาญาต้องสู้กันไป อาจจะใช้เวลากว่า ๗ ปี ที่บิ๊กโจ๊กมีเวลาเหลืออยู่ในข้าราชการตำรวจ”การที่ พล.ต.อ.วินัย ทองสอง แจงผลสอบสวนบิ๊กโจ๊กเบื้องต้นนั้น เป็นการเตือนให้รู้ว่า สุดท้ายคำตอบไม่ได้ผิดไปจากนี้ คือเข้าข่ายฟอกเงิน จึงส่งสัญญาณให้คิดดีๆ ดังนั้นอย่าได้ทำสงครามที่ไม่มีโอกาสชนะ”ส่วน “บิ๊กต่อ” นายจตุพร กล่าวว่า ปลายทางคดียังอยู่อีกยาวไกลกว่าจะรู้ผล ประกอบกับเวลาเป็นข้าราชการตำรวจยังเหลือน้อยเพียงไม่กี่เดือน เมื่อเกษียณแล้ว “บิ๊กต่อ” ยังสามารถไปประกอบอาชีพอย่างอื่นได้อยู่ และไม่ต้องพัวพันกับการถูกสอบวินัยด้วย ดังนั้นอนาคตจึงมีความเสี่ยงน้อยกว่าบิ๊กโจ๊กนายจตุพร กล่าวว่า สงครามของสองบิ๊กในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เป็นเพียงเรื่องตัวบุคคลสองคน แต่ สตช. เป็นเรื่องใหญ่มีตำรวจกว่า ๒ แสนคน แต่วันนี้เละตุ้มเป๊ะไปแล้ว ต้องรีบปฏิรูปองค์กรโดยด่วน เพื่อให้ประชาชน และตำรวจ เกิดความเชื่อมั่นในชีวิตและทรัพย์สิน ดังนั้น นายเศรษฐา ในฐานะประธาน ก.ตร. ควรตระหนักและเร่งรีบฟื้นศรัทธาตำรวจให้กลับมา”คนเป็นนายกฯ เมื่อเห็นปัญหาแล้วต้องกล้าเปลี่ยนแปลงปัญหาของประเทศไปสู่สิ่งที่ดีกว่า ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับการเปลี่ยนแปลงคำพูด เพราะสิ่งนั้นเรียกว่าตระบัดสัตย์”นายจตุพร เปรียบเทียบการอภิปรายของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ พรรคก้าวไกล กับ นายเศรษฐา ว่า นายพิธา เป็นตัวแทนฝ่ายค้านอภิปรายปิดท้ายเมื่อกลางดึก ๔ เมษายนที่ผ่านมา โดยคำพูดมีวุฒิภาวะ ราวกับเป็นนายกฯ ส่วนนายเศรษฐาได้แต่เหน็บแนม ประชดประชัน ตอบโต้ หักเหลี่ยมเอาชนะ เหมือนเป็นฝ่ายค้าน ดังนั้นทั้งสองคนนี้ทำหน้าที่สลับบทบาทกันชัดเจน.