Thursday, 19 December 2024

รำลึก "วันมหาจักรี" ๒๔๒ ปี "รัตนโกสินทร์"

06 Apr 2024
69

วันเสาร์ที่ ๖ เมษายน พ.ศ.๒๕๖๗ เป็น “วันจักรี” หรือวันรำลึกถึงการเสด็จขึ้นครองราชสมบัติของ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี เมื่อ ๖ เมษายน พ.ศ.๒๓๒๕ และอีกเพียง ๑๕ วันจากนั้นก็ทรงสถาปนากรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินทร์ขึ้นเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ เมื่อ ๒๑ เมษายนปีเดียวกัน นำความเจริญรุ่งเรืองอยู่เย็นเป็นสุข และวัฒนาถาวรมาสู่พสกนิกรชาวไทย นับถึงบัดนี้เป็นเวลา ๒๔๒ ปีแล้วรายการ “เสาร์สารพัน” ขอเชิญชวนผู้อ่านที่เคารพน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นของพระองค์ท่าน ตลอดจนพระมหากษัตริย์แห่งบรมราชจักรีวงศ์ทุกๆพระองค์ ที่ทรงปกครองแผ่นดินสืบทอดพระราชปณิธาน แห่งองค์พระปฐมกษัตริย์มาโดยตลอดสำหรับประเด็นและสาระหลักของคอลัมน์ในวันนี้ ผมจะเขียนถึงแง่มุมที่สำคัญประการหนึ่งของ “กรุงเทพมหานคร” เมืองหลวงของประเทศไทยที่ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช มีพระราชดำริให้สร้างขึ้น แทนกรุงธนบุรีดังที่ทราบกันดีอยู่แล้วมีพระราชดำริด้วยเหตุผลที่สำคัญยิ่งประการหนึ่ง แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปประเทศไทยของเรากลับได้ประโยชน์จากการยกกรุงเทพมหานครขึ้นเป็นเมืองหลวง ในทางอื่นอย่างอเนกอนันต์ และคาดไม่ถึงคงทราบแล้วว่าเหตุผลเบื้องต้นของพระองค์ท่านเป็นพระบรมราช วินิจฉัยเกี่ยวกับชัยภูมิของตัวเมืองธนบุรี ซึ่งป้องกันยากหากจะมีอริราชศัตรูยกทัพมาประชิด เพราะตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่นํ้าเจ้าพระยา หากย้ายไปอยู่เสียทางฝั่งตะวันออกจะป้องกันได้ดีกว่าจึงทรงมอบหมายให้พระยาธรรมาธิกรณ์และพระยาวิจิตรนาวี เป็นแม่กอง ข้ามมารังวัดก่อร่างสร้างเมืองขึ้นใหม่ และทำพิธียกเสาหลักเมืองเมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๓๒๕ ก่อกำเนิด กรุงเทพมหานคร นับตั้งแต่นั้นมาแม้จะต้องเผชิญเหตุการณ์ที่ร้ายแรงต่างๆ นับแต่ยุคล่าเมืองขึ้นของเหล่าประเทศตะวันตก ที่เรียกตัวเองว่าประเทศพัฒนาแล้ว มาจนถึงยุคสงครามโลกครั้งที่ ๒ ที่สงครามการต่อสู้บังเกิดขึ้นในแผ่นดินของเราด้วย โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร ได้ถูกโจมตีทางอากาศหลายต่อหลายครั้งแต่กรุงเทพมหานครและประเทศสยาม ซึ่งต่อมาเปลี่ยนเป็นประเทศไทย ก็สามารถอยู่ยั้งยืนยงเอาตัวรอดได้เรื่อยมา ด้วยพระปรีชาสามารถของบูรพกษัตริย์ไทยทุกพระองค์ในส่วนของกรุงเทพมหานครนั้นก็มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงและขยายตัวเติบโตขึ้นอีกมาก จนกลายเป็นมหานครใหญ่ที่บางครั้งก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีปัญหาต่างๆเกิดขึ้นมากมายอย่างไรก็ตามหลัง พ.ศ.๒๕๐๐ เป็นต้นมา โลกเราก็ได้เกิด “ธุรกิจ” หรือ “กิจกรรม” ขึ้นมาประการหนึ่งเรียกกันว่า “ธุรกิจท่องเที่ยว” บ้าง “อุตสาหกรรมท่องเที่ยว” บ้าง ฯลฯก่อให้เกิดรายได้มหาศาลแก่ประเทศต่างๆทั่วโลกที่มีชื่อเสียงด้านท่องเที่ยวและกลายเป็นเครื่องมือสำคัญของทุกประเทศในการใช้หารายได้เข้ามาพัฒนาประเทศของตน…รวมทั้งประเทศไทยเราด้วยที่สำคัญ “พระเอก” ของธุรกิจท่องเที่ยวไทยก็คือ “กรุงเทพมหานคร” นี่เอง สืบเนื่องมาจากพระราชมรดกต่างๆที่พระมหากษัตริย์ไทยนับแต่รัชกาลที่ ๑ ทรงสร้างและมอบไว้เป็นสมบัติของประเทศความสวยงามของพระบรมมหาราชวังของวัดพระแก้วของพระปรางค์วัดอรุณและแม่น้ำลำคลองต่างๆ สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเที่ยวและสร้างรายได้ให้แก่ประเทศไทยมาโดยตลอดในปี ๒๕๕๕ กรุงเทพมหานครสามารถติดอันดับ ๑ ของเมืองที่เป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกและอันดับ ๓ ของโลกจากการจัดอันดับของ Master Cardล่าสุดเมื่อปี ๒๕๖๖ ปีกลายนี่เอง กรุงเทพฯกลับมาเป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวมาเยือนมากสุดเป็นอันดับ ๑ ของโลก จำนวน ๒๒.๗๖ ล้านคน แซง ปารีส ที่มีผู้ไปเที่ยว ๑๙.๑๐ ล้านคนได้อย่างงดงาม (เว็บไซต์ Travelnews) และต่อมาเมื่อรวมทั้งปี ๒๕๖๖ ปรากฏว่ามีผู้มาเที่ยวประเทศไทย ๒๘ ล้านคนเศษ สร้างรายได้ถึง ๕๔,๔๐๐ ล้านบาททั้งหมดนี้คือพระมหากรุณาธิคุณที่สำคัญยิ่งที่พระมหากษัตริย์ไทยของเราในอดีตกาลได้ทรงมอบไว้เป็นมรดกของชาติไทยประดุจน้ำซึมบ่อทรายที่จะสามารถตักตวงมาดื่มกินได้อีกนานแสนนานในอนาคตขอเพียงพวกเราจงใช้ประโยชน์อย่างทะนุถนอม และระมัดระวังอย่างยิ่งยวดด้วยเถิด “นํ้าบ่อนี้” (ธุรกิจท่องเที่ยว) จะไหลซึมออกมาให้พวกเราได้ดื่มกินไปชั่วลูกชั่วหลานตราบกาลนิรันดร์.“ซูม”คลิกอ่านคอลัมน์ “เหะหะพาที” เพิ่มเติม