“สภาวัฒนธรรมไทย-จีนฯ” …ทำหน้าที่เป็นสะพานเล็กๆ แต่เป็นสะพานที่ใช้เสาศิลาปักอยู่อย่างคงทนและมั่นคงในการเชื่อมสัมพันธภาพระหว่าง “ไทย”–“จีน”“เราอ่านอนาคตจากความจริงว่า…จีนคือตลาดการค้า จึงต้องเร่งพัฒนาความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น ต้องพยายามเสริมสร้างมิตรภาพไม่ให้มีช่องโหว่ ต้องสนับสนุนให้มีการไปมาหาสู่พูดคุยกัน แลกเปลี่ยน สัมมนา จัดโรดโชว์ และแนะนำสินค้า”“รัฐบาลจีน” ประกาศแก้ปัญหาความยากจนให้หมดสิ้น และกำลังยกระดับคนมีกินมีใช้ให้แบ่งปันอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน หมายความว่า…“ประชาชนชาวจีน” ที่มีรายได้ปานกลางจะพ้นจากความยากจนขึ้นมาอีก ๘๐๐-๙๐๐ ล้านคนฉะนั้น “อำนาจการซื้อ” จะใหญ่มาก ความต้องการสินค้า อาหาร ผลไม้ เนื้อสัตว์ ย่อมส่งผลมาถึงประเทศไทย เราจะยกระดับเศรษฐกิจ… ตัวเลขการค้าระหว่างไทยกับจีนให้มากขึ้น จากขณะนี้ ๒ แสนล้านเหรียญ ให้เป็น ๕ แสนล้าน และเป็นล้านล้านในอีก ๑-๒ ปีข้างหน้า“เมื่อมีเป้าหมายแล้วก็ต้องแบ่งหน้าที่กันไป ใครไปมณฑลไหนเมืองไหน จะนำผลิตภัณฑ์อะไร ผลไม้พืชผลทางการเกษตรประเภทไหนไปบุกตามมณฑลต่างๆ เราต้องร่วมมือกับจีนพัฒนาความสัมพันธ์แบบก้าวกระโดด โดยเน้นด้านเศรษฐกิจการลงทุนทุกมิติ”มุมมองข้างต้นทั้งหมดนี้ พินิจ จารุสมบัติ ประธานสภาวัฒนธรรมไทย-จีนและส่งเสริมความสัมพันธ์ กล่าวไว้เมื่อต้นปีที่แล้วล่าสุดเมื่อปลายเดือนที่ผ่านมานี่เอง สถาบันพระปกเกล้า สภาวัฒนธรรมไทย–จีนและส่งเสริมความสัมพันธ์ และ สถาบันภาษาและวัฒนธรรมปักกิ่ง ได้ลงนามต่อบันทึกความเข้าใจ MOU ทางวิชาการ ณ พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ถนนหลานหลวง กทม. วัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการศึกษา อบรมภาษาและวัฒนธรรมจีน งานวิจัย และแลกเปลี่ยนทางวิชาการ โดยจัดอบรมหลักสูตรภาษาจีนกลางสำหรับข้าราชการ เพื่อพัฒนาความสามารถการใช้ภาษาจีนกลางให้กับข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐสำหรับหลักสูตรภาษาจีนกลางเพื่อข้าราชการ เป็นโครงการความร่วมมือระหว่างสถาบันพระปกเกล้า สภาวัฒนธรรมไทย-จีนและส่งเสริมความสัมพันธ์ สถาบันภาษาและวัฒนธรรมปักกิ่งภายใต้การสนับสนุนจากสำนักงานกิจการชาวจีนโพ้นทะเล และสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย โดยดำเนินการมาตั้งแต่ปี ๒๕๖๒ จนถึงปัจจุบัน จัดการอบรมไปแล้ว ๔ รุ่น มีข้าราชการเข้ารับการอบรมรวมจำนวน ๒๑๗ คนประกอบด้วยปี ๒๕๖๒ ศึกษา ณ สถาบันภาษาและวัฒนธรรมปักกิ่ง ๓๔ คน…ปี ๒๕๖๓ ไม่จัดอบรมเนื่องจากสถานการณ์โควิด…ปี ๒๕๖๔ ศึกษาผ่านระบบออนไลน์ ๑๐๐ คน…ปี ๒๕๖๕ ศึกษาผ่านระบบออนไลน์ ๔๐ คน…ปี ๒๕๖๖ อยู่ระหว่างการศึกษา ณ สถาบันภาษาและวัฒนธรรมปักกิ่ง ๔๓ คนพินิจ บอกว่า ในการจัดพิธีลงนามความร่วมมือระหว่างสถาบันภาษาและวัฒนธรรมปักกิ่งกับสถาบันพระปกเกล้า และสภาวัฒนธรรมไทย-จีนและส่งเสริมความสัมพันธ์ สืบเนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน มีการขยายตัว ความต้องการของคนไทยอยากเรียนภาษาจีนมีมาก แต่ทุนยังจำกัดปีละ ๔๕ ทุนเท่านั้น“อีกทั้งการแลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรมการศึกษามีการขยายตัว เป็นนโยบายของรัฐบาลไทยและจีน ที่ต้องการสร้างเสริมมิตรภาพระหว่างกันให้พัฒนามากยิ่งขึ้น…โครงการนี้จึงสะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือระหว่างกันทั้งด้านการค้า การลงทุน การแลกเปลี่ยน การท่องเที่ยว วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ขยายตัวไปอย่างรวดเร็ว” ย้ำว่าโครงการครั้งนี้จะขยายไปอีก ๕ ปี สภาวัฒนธรรมฯเป็นสะพานเชื่อมให้สถาบันพระปกเกล้าเป็นผู้คัดเลือกนักศึกษาไปเรียนซึ่งไม่ใช่เพียงการเรียนอย่างเดียวแต่ต้องสร้างความสัมพันธ์ มิตรไมตรีให้แน่นแฟ้นภายใต้การบริหารของ “ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง” จีนสามารถแก้ไขปัญหาความยากจนภายในประเทศได้อย่างสิ้นเชิงประเด็นสำคัญมีว่า…การที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนทำให้ประชาชน ๑,๔๐๐ ล้านคน มีกินมีใช้ได้นั้น เป็นเรื่องยิ่งใหญ่มาก เพราะแค่ทำให้ประชาชนมีปัจจัยสี่ มีหลักประกันด้านสาธารณสุข การศึกษา ไฟฟ้า และน้ำประปา ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว แต่พรรคคอมมิวนิสต์จีนยังทำให้ชาวจีนมีชีวิตสงบสุขร่มเย็น ไร้ความเครียดและ…มีความปลอดภัยสูง ไม่เหมือนหลายประเทศในโลกที่ประชาชนมีความเครียดมาก ผลงานการบริหารประเทศของ “ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง” ประชาชนจับต้องได้และได้ประโยชน์มากมายนอกจากเรื่องเทคโนโลยี อุตสาหกรรม ชีวิตความเป็นอยู่แล้ว ยังให้ความสำคัญกับเรื่องศิลปวัฒนธรรมและการรักษาเอกลักษณ์ความเป็นจีน ทุกวันนี้ชาวโลกต่างตกตะลึงกับการพัฒนาของจีน ที่ทำให้ประชาชน ๑,๔๐๐ ล้านคน มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ขณะเดียวกันก็ได้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ไปยังประชาคมโลกความร่วมมือครั้งนี้แม้ว่าจะเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นเล็กๆชิ้นหนึ่ง ซึ่ง “รัฐบาลจีน” เปิดให้มี “ทุนการศึกษา” เพื่อให้นักศึกษาไทยหรือข้าราชการไทยที่อยากเรียนภาษาจีนได้ไปเรียนรู้ที่มหานครปักกิ่ง เป็นมหาวิทยาลัยด้านภาษา สอนการเขียน การอ่านภาษาจีน โดยใช้เทคนิคสมัยใหม่…ทำให้ปีเดียวสามารถอ่าน พูดได้ น่าสนใจว่าความร่วมมือนี้มีมายาวนานกับสภาวัฒนธรรมฯเป็นปีที่ ๑๙ แล้ว…ครั้งแรกเปิดการเรียนที่มหาวิทยาลัยหัวเฉียว เซียะเหมิน ก่อนย้ายมาเรียนที่สถาบันภาษาและวัฒนธรรมปักกิ่งได้ ๑๐ ปีนับเป็นความร่วมมือที่ประสบความสำเร็จมาก เพราะได้ส่งข้าราชการ พนักงานองค์กรต่างๆกลับมาสามารถนำมาใช้งานได้อย่างดี อาทิ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองบัญชาการตรวจคนเข้าเมืองโดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนภาคเหนือ แม่ฮ่องสอน เชียงราย เชียงใหม่ ต้องการเรียนรู้ภาษาจีนมาก อีกทั้ง “นักลงทุน” ก็มีความต้องการจ้างคนไทยที่รู้ภาษาจีนเยอะมาก ประเด็นสำคัญคือ…รายได้และสวัสดิการก็ดีมากด้วยเช่นกัน ทำให้คนรุ่นใหม่ยิ่งสนใจ อยากเรียนภาษาจีนกันมากขึ้นหวัง จื้อ หมิน อธิการสถาบันภาษาและวัฒนธรรมปักกิ่ง เสริมว่า สถาบันของเราได้มีโอกาสร่วมโครงการกับสภาวัฒนธรรมไทย-จีน และส่งเสริมความสัมพันธ์ สถาบันพระปกเกล้า ทางสถาบันกำลังต่อยอด โครงการที่ดำเนินการมาตั้งแต่อดีต ขณะนี้มีผู้อบรบ ๒๑๗ คน“นักศึกษาที่ไปเรียนเหล่านี้ ไม่ว่าจะไปอยู่เหล่าทัพ ตำรวจ เกษตรกรรม ก็สามารถช่วยผลักดันให้เกิดความก้าวหน้าทั้งสองฝ่ายและสร้างคุณูปการ โดยเฉพาะที่อยู่ในโครงการ One Belt One Road (OBOR) รู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้ยินว่า…ทุกคนที่กลับมาแล้ว ได้ยกระดับสถานะของตัวเองและตำแหน่งก็สูงขึ้นด้วย”หวัง จื้อ หมิน กล่าวทิ้งท้ายว่า หลังจากเซ็นบันทึกความเข้าใจ ตกลงร่วมมือกันเพิ่มเติมครั้งนี้ เราจะต่อยอดความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นมากกว่าเดิม…หวังว่าจะได้มีโอกาสพัฒนาความสัมพันธ์ให้ลึกซึ้งมากขึ้นโดยเฉพาะด้านวิชาการและอีกหลายๆด้านต่อไป.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า ๑” เพิ่มเติม