Thursday, 19 December 2024

“วรวัจน์” ชี้ รัฐบาลต้องปรับ ๓ แผน งาน-เงิน-คน ในการใช้งบฯ ปี ๖๗

“วรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล” วิเคราะห์การอภิปรายงบประมาณปี ๖๗ รัฐบาลต้องแก้ปัญหา ๓ ส่วน คือ แผนงาน แผนเงิน และแผนคน ขอบคุณทุกฝ่ายให้ข้อเสนอแนะ และความคิดเห็นดีๆ เพื่อพัฒนาชีวิตประชาชนวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๖๗ นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล สส.แพร่ พรรคเพื่อไทย (พท.) ระบุถึงการอภิปรายในงบประมาณปี ๖๗ ที่ผ่านมาว่า การซักถามของ สว. และ สส. พบว่า ส่วนหนึ่งเป็นข้อเสนอแนะที่น่ารับฟังเพื่อนำไปปฏิบัติ อีกส่วนหนึ่งเป็นข้อซักถามเหตุผลว่าทำไมรัฐบาลถึงยังไม่ปฏิบัติตามนโยบาย และแนวทางที่กำหนดไว้ ซึ่งเมื่อดูจากข้อมูลทั้งหมดแล้วก็พบว่าปัญหาของรัฐบาลอยู่ที่ ๓ ส่วนคือ แผนงาน แผนเงิน และแผนคน ซึ่งถ้าจะ ดำเนินการ แก้ไข จะต้องเข้าสู่การปฏิรูประบบราชการครั้งใหญ่ของรัฐบาล๑. แผนงาน คือ แผนการใช้งบประมาณของรัฐบาล มาจากแผนคำขอของหน่วยงานในระดับจังหวัด ซึ่งจะต้องมา จากแผนพัฒนาจังหวัด ที่เป็นเพียงข้อมูลโครงการความต้องการของพื้นที่ ซึ่งยังไม่สามารถปรับตัวให้สอดคล้องกับการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล ที่มีแนวคิดแบบมองปัญหาในภาพกว้างและมีแนวคิดใหม่ๆ คณะรัฐมนตรี (ครม.) จึงไม่มีงบประมาณใช้ตามทิศทาง และแนวนโยบายในรูปแบบใหม่ที่แถลงต่อสภาไว้อย่างแท้จริง ดังนั้น นอกจากแผนงานพื้นฐานแผนงานยุทธศาสตร์ ที่ทำให้ระบบราชการขับเคลื่อนได้แล้ว สภาพัฒน์และสำนักงบประมาณจะต้องกำหนดแผนยุทธศาสตร์ตามนโยบายไว้เพิ่มเติมอีกด้วย เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารราชการ หากปรับกรอบไม่ทัน อาจจะต้องขยายกรอบงบกลางในหมวดนโยบายเอาไว้ เพราะยังไม่เห็นปรากฏแนวทางการปฏิบัติตามนโยบายไว้ในหน่วยงานของรัฐที่ตรงกับนโยบาย ของรัฐบาลอย่างแท้จริงเลยนอกจากนี้ ข้อจำกัดของรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๔๔ ก็ไม่อำนวยให้สภาผู้แทนราษฎรนำเสนอความต้องการของประชาชน เพื่อให้รัฐบาลดำเนินการได้เลย ซึ่งที่จริงแล้วในยุคโซเชียลมีเดีย ประชาชน และฝ่ายค้านสามารถตรวจสอบการบรรจุการปรับงบประมาณของกรรมาธิการได้อยู่แล้วว่าถูกต้องหรือไม่ จึงไม่จำเป็นต้องจำกัดอำนาจหน้าที่ในการแก้ไขจุดอ่อนและจุดด้อยของงบประมาณ จนกระทั่งไม่สามารถนำเสนอความต้องการของประชาชนผ่านระบบนิติบัญญัติได้เลย๒. ปัญหาของแผนเงิน คือระบบงบประมาณที่ถูกกำหนดไว้อย่างแข็งตัว ทำให้ทุกหน่วยงาน ต้องปฏิบัติตามกรอบเดิมที่สำนักงบประมาณกำหนดไว้ โดยไม่สามารถนำเสนอการขอใช้งบประมาณตามความต้องการจริงๆ ได้เลย ซึ่งทำให้ที่ผ่านมามีหลายหน่วยงานเสนอกฎหมายไม่ต้องนำเม็ดเงินจัดเก็บจากรายได้นำส่งเข้ากระทรวงการคลังเพื่อให้เป็นงบประมาณตามกรอบที่สำนักงบประมาณกำหนดไว้ จึงทำให้มีเงินประเภทใหม่ คือ เงินนอกงบประมาณเกิดขึ้นเป็นจำนวนเงินที่มากกว่าเงินงบประมาณที่ตั้งไว้ที่ ๓.๔๘ ล้านล้านบาท ถึง ๕.๙ ล้านล้านบาท ในปีงบประมาณ ๖๗ แล้ว โดยส่วนของแผนงบประมาณนี้จึงเป็นส่วนสำคัญที่รัฐบาลจะต้องเร่งปฏิรูปโดยเร่งด่วนอย่างยิ่ง ๓. แผนคน พบว่ามีการเกิดขึ้นของหน่วยงานใหม่จำนวนมาก มีความซ้ำซ้อน และบางหน่วยก็ปฏิบัติงานไม่ได้จริงรวมถึงแนวทางการดำเนินการของการบริหารราชการนั้น ดำเนินการตามรูปแบบเดิม มีความแข็งตัว และอุ้ยอ้ายทำให้ คณะรัฐมนตรีไม่สามารถสั่งงานได้จริง จึงพบข้อขัดแย้งในการบริหารราชการแผ่นดินเกิดขึ้นในเกือบทุกกระทรวงทบวง กรม ซึ่งถ้าดูง่ายๆ จากการสั่งการปราบปรามปัญหายาเสพติด การแก้ไขพีเอ็ม ๒.๕ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่นั้น จะพบว่าการแต่งตั้งโยกย้ายผู้ปฏิบัติงานในภาวะวิกฤติของประชาชน รัฐบาลยังต้องรอปฏิบัติตามแนวทาง และกรอบการบริหารบุคลากรตามรูปแบบของราชการแบบเดิมๆ ซึ่งทำให้การแก้ไขปัญหาล่าช้า และไม่ทันต่อการแก้ไขปัญหาวิกฤติของประชาชน ทำให้เห็นว่าหากรัฐบาลจะต้องการดำเนินการแก้ไขปัญหาวิกฤติของประเทศที่สะสมมาช้านาน รัฐบาลจะต้องเร่งการปฏิรูประบบราชการทั้งแผนงาน แผนเงิน และแผนคน ให้เกิดขึ้นโดยเร่งด่วน มิเช่นนั้นปัญหาแบบเดิมก็จะวนกลับมาแบบนี้ทุกปี ไม่มีจบสิ้นทั้งนี้ ต้องขอขอบคุณข้อเสนอแนะ และความเห็นดีๆ จากทุกฝ่ายที่นำเสนอด้วยความจริงใจ และเชื่อว่ารัฐบาลน่าจะเข้าใจและนำไปปฏิบัติ และแก้ไขเพื่อให้สัมฤทธิ์ผลตามนโยบาย พร้อมทำให้เกิดผลดีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนต่อไป