Thursday, 19 December 2024

พระเสพเมถุน เป็นชู้กับแม่บุญธรรม ตบมือข้างเดียวไม่ดัง สะเทือนวงการสงฆ์

12 Apr 2024
65

พระกับสีกามีสัมพันธ์สวาท สะเทือนวงการสงฆ์เกิดขึ้นบ่อยครั้ง เป็นความผิดร้ายแรงถึงขั้นปาราชิกขาดจากความเป็นพระ เช่นเดียวกับการอวดอุตริมนุสธรรม ฉ้อโกงเงินวัดหรือกรณีเงินทอนวัดก็มีให้เห็น ทำให้พุทธศาสนาเสื่อมเสียและพระผู้ประพฤติดีถูกมองในทางลบไปด้วย อย่างล่าสุดมีการออกมาแฉอ้างว่าอดีตผู้สมัคร สส. พรรคการเมืองเก่าแก่ มีสัมพันธ์กับพระหนุ่ม วัย ๒๔ ปี หลังสามีของอดีตผู้สมัครสส.จับได้คาหนังคาเขาในบ้านพักต่างจังหวัดกลายเป็นประเด็นร้อนแรง จนในที่สุดทางพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้นิ่งนอนใจ ออกมาแถลงถึงเรื่องฉาวที่เกิดขึ้นและยอมรับว่าอดีตผู้สมัคร สส. เป็นสมาชิกพรรคตั้งแต่วันที่ ๒๖ มี.ค. ๒๕๖๖ แต่ไม่มีตำแหน่งใดๆ ในพรรค และการเป็นสมาชิกพรรคต้องปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัด อยู่ในกรอบจริยธรรม คุณธรรม ศีลธรรม ตามข้อบังคับของพรรค นำไปสู่การตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงให้กระจ่างชัด คาดว่าใช้เวลา ๓ วัน หากผิดจริงจะถูกขับออกพ้นจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์  เรื่องที่เกิดขึ้นน่าจะมีมูลความจริง เพราะอดีตกำนันในพื้นที่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดไร่อ้อย อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์ ระบุว่า พระหนุ่มรูปนี้มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมหลายอย่าง ปล่อยให้เวรกรรมที่กระทำตามสนอง จนสุดท้ายเรื่องก็แดงขึ้นมาต้องลาสิกขา เพราะบางครั้งออกจากวัดไปพักค้างแรมที่อื่นเป็นเวลานานหลายวัน และเงินทำบุญทอดผ้าป่าทอดกฐินจะเก็บไว้ ไม่ยอมให้คณะกรรมการวัดได้ร่วมรับรู้ และยังนำเงินไปซื้อรถยนต์ในนามของวัด แต่นำไปใช้เพียงผู้เดียวขณะที่ “อินทพร จั่นเอี่ยม” ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เปิดเผยว่า พระหนุ่มรูปนี้ ลาสิกขาไปตั้งแต่วันที่ ๒๒ มี.ค. หลังเรื่องเกิดขึ้นเดือน ก.พ. แต่เพิ่งเป็นข่าว และได้สึกจากการเป็นพระไปแล้ว ขึ้นอยู่กับผู้เสียหายว่าจะดำเนินคดีหรือไม่ แต่ในส่วนขั้นตอนของพระไม่สามารถดำเนินการได้แล้ว และไม่น่าจะใช่เจ้าอาวาสวัดไร่อ้อย เพราะทางวัดมีเจ้าอาวาสอยู่แล้ว และพบว่าพระรูปนี้บวชที่จ.เชียงใหม่ และมาจำพรรษาอยู่ที่ จ.อุตรดิตถ์ ทางแก้พระเสพเมถุน อย่าปล่อยทำเรื่องลับหูลับตากรณีพระเสพเมถุน ไม่ว่าพระกับฆราวาสชายและพระกับฆราวาสหญิง คงมีให้เห็นอย่างต่อเนื่องในวงการผ้าเหลือง ยิ่งในโลกยุคใหม่การติดต่อสื่อสารทำได้ง่ายโดยเฉพาะช่องทางโซเชียล แล้วจะแก้ปมปัญหาได้อย่างไร? “รองศาสตราจารย์ด็อกเตอร์ธวัช หอมทวนลม” อดีตหัวหน้าภาควิชาปรัชญา คณะศาสนาและปรัชญา มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย กล่าวว่า กรณีพระเสพเมถุน ไม่ใช่เกิดขึ้นครั้งแรก หากพระปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างจริงจัง คงไม่มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น เป็นการอาบัติปาราชิก หากญาติโยมไปหาพระ ก็ควรต้องมีฆราวาสที่รู้เดียงสา ซึ่งไม่ใช่เด็กไม่รู้เดียงสา มานั่งอยู่ด้วยเหมือนเป็นพยานว่าพูดเรื่องอะไร“ไม่ใช่ปล่อยพระกับสีกา ทำเรื่องลับหูลับตา ต้องมีฆราวาสผู้ใหญ่ มีลูกศิษย์วัดมานั่งร่วมอยู่ด้วย จะได้รู้ว่าคุยกันเรื่องอะไร ไม่ให้เป็นเรื่องลับหู อย่างกรณีที่เกิดขึ้นทั้งพระทั้งสีกา ทำเรื่องลับหูลับตา ฝ่ายสีกาไปหาพระยามวิกาล และพระก็ไปหาสีกาสองต่อสองในยามวิกาลเช่นกัน เป็นการทำผิดพระธรรมวินัยอย่างชัดเจน เพราะเวลาพระจะไปไหน ต้องมีพยาน มีลูกศิษย์คอยนั่งอยู่ด้วย จะได้ไม่มีเรื่องเสียหาย จนเกิดปัญหาตามมา และการเป็นแม่บุญธรรม หรือเป็นแม่จริงๆ ไปหาพระ ก็ทำไม่ได้ แม้เป็นเวลากลางวันปกติ”เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งพระและสีกาผิดทั้งสองฝ่าย โดยพระก็ต้องปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ส่วนสุภาพสตรีจะเป็นใครก็ตาม ต้องคิดถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นตามมา แต่การไม่ป้องกันแสดงว่ามีอะไรแอบแฝงอยู่ เพราะการอยู่ด้วยกันสองต่อสอง โอกาสจะเกิดขึ้นทำให้เกิดความเสียหายมีสูงมาก แม้เป็นโยมผู้ชายมาหาพระ ก็มีโอกาสอย่างที่เคยเป็นข่าวพระมีสัมพันธ์กับผู้ชายด้วยกัน และยิ่งพระหนุ่มรูปนี้ ศึกษาเล่าเรียนจนจบมหาเปรียญ กลับไม่ยึดพระธรรมวินัย ซึ่งปัญหาพระเสพเมถุน คงแก้ได้ยากมาก  โลกโซเชียล สื่อสารง่าย คุยกันจ๊ะจ๋า พระเสี่ยงตะบะแตกอย่างพระพุทธเจ้า เป็นนักประชาธิปไตย ก่อนจะบัญญัติพระวินัยขึ้นมา จะเรียกพระที่ก่อเรื่องก่อปัญหา มาถามว่าได้กระทำหรือไม่ หากกระทำจริงจะเรียกคณะสงฆ์มากำหนดข้อห้ามต่างๆ ให้พระปฏิบัติตาม หากปฏิบัติตามพระธรรมวินัยก็ไม่เกิดปัญหา ไม่เกิดความเสียหายอย่างเรื่องที่เกิดขึ้น ส่วนญาติโยมก็ต้องระวังในการไปหาพระตามลำพัง และปัจจุบันพระมีโทรศัพท์มือถือพกติดตัว ทำให้รับรู้ทางโลกมากเกินไป จะเกิดความเสียหาย แตกต่างกับพระสายปฏิบัติจริงๆ จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งพวกนี้ หรือหากจำเป็นต้องใช้โทรศัพท์มือถือ ต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก“พระบางรูปคุยกับสีกาตอนกลางคืน เพราะสีกาอาจมีเรื่องทุกข์ใจขอคำปรึกษา เมื่อเวลาผ่านไปมีการคุยเรื่องส่วนตัวกันมากขึ้น จนมีความคุ้นเคยสนิทสนม อาจเกินกรอบมากไป ยิ่งยุคปัจจุบันมีโลกโซเชียล พระต้องระวังให้มาก ไม่ให้รู้สึกในความเป็นปุถุชน จนตบะแตกขึ้นมา ไม่เหมือนกับพระในสมัยก่อนตั้งใจบวชเรียน เพื่อให้บรรลุนิพพาน และก่อนจะบวชต้องเตรียมตัวนาน ๓ เดือน แต่พระปัจจุบันบวชระยะสั้น ๗ วัน ๑๕ วัน ทดแทนคุณพ่อแม่ ก็ต้องยิ่งระวัง”ปัจจุบันการจะบวชเป็นพระง่ายกว่าในอดีต ก็ต้องยอมรับว่าการจะคัดเลือกคนมาบวชไม่ได้มีเกณฑ์อย่างจริงจัง พระอุปัชฌาย์บางรูปก็ไม่รู้ประวัติของคนมาบวช ยิ่งในต่างจังหวัดยิ่งบวชง่าย ซึ่งจริงๆ ต้องมีคนรับรอง และวัดบางแห่งต้องตรวจสอบประวัติ แต่ไม่สามารถทำได้ในทุกวัด และพระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ว่า หากพระสงฆ์ยึดตามพระธรรมวินัย ก็สามารถเป็นศาสดาได้ อยู่ที่คนที่บวชจะปฏิบัติได้แค่ไหน อีกทั้งสังคมทางโลกไปไกลมาก จนพระไล่ตามไม่ทัน จะต้องมีการอบรมให้รู้เท่าทันประเด็นพระเสพเมถุนในวงการพระพุทธศาสนา จะยังไม่จบสิ้น หากพระไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย และญาติโยมจะต้องระวังในการอยู่กับพระสองต่อสอง อย่าไปยามวิกาล ส่วนพระผู้ปกครองทั้งหลาย อย่าปล่อยปละละเลย โดยเฉพาะเรื่อง ๔ ข้อ ๑. การเสพเมถุน ๒. การฆ่ามนุษย์ ๓. การลักเล็กขโมยน้อย การลักทรัพย์ และ ๔. อวดอุตริมนุสธรรม ต้องอาบัติปาราชิกขาดจากความเป็นพระ หากเป็นสมัยรัชกาลที่ ๓ และรัชกาลที่ ๔ เมื่อพบพระเสพเมถุน ถือเป็นความผิด มีโทษจำคุกทั้ง ๒ ฝ่าย ทำให้พระและสีกาต้องระวังตัวไม่ให้เกิดเรื่อง.