Thursday, 19 December 2024

ไขปมบัสโดยสารมรณะ ระบบไม่รับกายภาพถนน

ปัญหาซ้ำซากสำหรับอุบัติเหตุ รถบัส ๒ ชั้นที่นับวันยิ่งเกิดขึ้นถี่นำไปสู่ความสูญเสียรุนแรงเกือบทุกครั้งมากกว่า “รถโดยสารทั่วไป” ทำให้ประชาชนใช้บริการต้องแบกรับความเสี่ยงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ดั่งกรณีล่าสุด “รถโดยสารปรับอากาศ ๒ ชั้นพลิกคว่ำ” ขณะวิ่งลงสะพานสีมาธานีที่เป็นทางโค้งจนเสียหลักชนป้ายบอกทางถนนมิตรภาพขาออกจากตัวเมืองนครราชสีมา ทำให้มีผู้เสียชีวิต ๒ ราย และบาดเจ็บกว่า ๔๐ ราย สำหรับปัจจัยเสี่ยงอุบัติเหตุนี้ นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผจก.ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน บอกว่า ปัจจุบันรถบัสโดยสารประจำทาง ๒ ชั้นมักเกิดอุบัติเหตุอยู่เป็นระยะอย่างล่าสุด “รถโดยสารปรับอากาศ ๒ ชั้นพลิกคว่ำใน จ.นครราชสีมา” เหตุการณ์นี้ทำให้เห็นว่า “รถบัส ๒ ชั้น” แม้เป็นรถประจำทางที่มีมาตรการดูแลรัดกุมมากเพียงใดก็ตาม แต่เมื่อหากรถวิ่งด้วยความเร็วก็มีโอกาสเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุได้เช่นเดิมส่วนหนึ่งมาจาก “ระบบ GPS จับความเร็ว” ถูกกำหนดค่าสัญญาณเตือนห้ามใช้ความเร็วเกิน ๙๐ กม./ชม.ซึ่งไม่สอดรับกับพื้นที่ลาดชัน พื้นที่เอียง และเส้นทางโค้งอันตราย ที่มีป้ายจำกัดความเร็ววิ่งไม่เกิน ๒๐-๔๐ กม./ชม.ทำให้รถวิ่งจุดนี้ได้โดยไม่มีสัญญาณการแจ้งเตือนกลายเป็นความเสี่ยงมาตลอดหลายปีที่ผ่านมาทว่าการปล่อยให้รถบัสขนาดใหญ่วิ่งบนถนนลาดชันยังมีความเสี่ยงใช้เบรกถี่จนแรงดันหม้อลมหมด ส่งผลให้เบรกแตกมักนำไปสู่ “การเกิดอุบัติเหตุ” ก่อให้เกิดความสูญเสียรุนแรงตามมามากมายได้อีกดังนั้นรถบัสโดยสาร ๒ ชั้นควรถูกกำกับอย่างเข้มงวดใกล้ชิด โดยเฉพาะในพื้นที่บริเวณถนนลาดชันเกิน ๗% ตามข้อมูลกรมทางหลวงเคยมีการศึกษาสำรวจพบ “๘๕ เส้นทางเสี่ยงทั่วประเทศ” แล้วเส้นทางนี้รถขนาดใหญ่ไม่ควรวิ่งเลยด้วยซ้ำ แต่ด้วยที่ผ่านมา “ไม่มีหน่วยงานเจ้าภาพ” ทำให้ยังปรากฏพบรถบัส ๒ ชั้นวิ่งเป็นปกติ นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์จริงๆแล้วสำหรับรถบัส ๒ ชั้น “ประเทศไทย” นำมาใช้ตั้งแต่ปี ๒๕๕๐ ทั้งในรถโดยสารประจำทาง และรถโดยสารไม่ประจำทางมีความสูง ๔.๒๐-๔.๓๐ ม. เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าเดินทางครั้งละมากๆ เพราะมีพื้นที่ชั้นล่างทำกิจกรรมขณะเดินทางได้ “ประหยัดงบประมาณไม่ต้องเช่าหลายคัน” ทำให้รถบัส ๒ ชั้นมีจำนวนมากมาถึงทุกวันนี้แต่ในทางวิศวกรรม “รถประเภทนี้” มักมีปัญหาเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุสูง ทำให้ในปี ๒๕๕๖ “กรมการขนส่งทางบก” กำหนดให้รถความสูง ๓.๖ ม.ขึ้นไปต้องผ่านการทดสอบพื้นเอียง หรือ Tilt test ๓๐ องศา คราวนั้นผู้ประกอบการต่างออกมาค้านจนต้องอนุโลมให้รถบัสสูงกว่า ๓.๖ ม. จดทะเบียนก่อนปี ๒๕๕๖ ยังไม่ต้องนำรถมาทดสอบทำให้รถประเภทนี้มีอยู่ประมาณ ๕,๐๐๐-๗,๐๐๐ คัน สามารถวิ่งให้บริการทั้งในรถประจำทาง (ประเภท ๑๐) และรถทัศนาจรที่ไม่ประจำทาง (ประเภท ๓๐) แล้วตามที่มีการเก็บข้อมูลล่าสุดรถบัสไม่ผ่านการทดสอบ ๒ ใน ๓ หรือประมาณ ๖๖% ถูกนำมาใช้ในกลุ่มรถบัสทัศนาจรวิ่งรับงานจ้างเหมานำเที่ยวได้ทั่วราชอาณาจักรแบบไม่ควบคุมเส้นทางผลตามมาคือ “มีการวิ่งบนเส้นทางเสี่ยง ๘๕ แห่ง” ทำให้เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้งอย่างเช่นปีที่แล้วรถบัสนำเที่ยว ๒ ชั้น เสียหลักพลิกคว่ำทางลงเนินเขาตับเต่า อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี มีผู้เสียชีวิต ๒ ราย เจ็บกว่า ๓๐ คนสะท้อนให้เห็น “ระบบกำกับดูแลยังขาดประสิทธิภาพ” จนต้องกำหนดให้รถบัสทุกคันติดตั้ง GPS บอกตำแหน่งรถให้บริการแล้วในปี ๒๕๕๙ “กรมการขนส่งทางบก” ออกข้อกำหนดเพิ่มเติมสำหรับรถจดทะเบียนใหม่ต้องสูงไม่เกิน ๔ ม. มีผลบังคับใช้ในปี ๒๕๖๐ ในส่วนรถบัส ๒ ชั้นเดิมมีความสูงเกินกว่า ๔ ม.จะไม่ต่อใบอนุญาตให้อีก ดังนั้นรถบัส ๒ ชั้นความสูงเกินกว่า ๔ ม. ที่มีอยู่จะสามารถวิ่งให้บริการจนกว่าจะสิ้นสุดอายุใบอนุญาตของแต่ละคันคาดว่าน่าจะหมดในปี ๒๕๗๐ “รถเหล่านี้ก็จะต้องหายจากระบบไปโดยอัตโนมัติ” จึงมีคำถามระหว่างนี้จะมีมาตรการห้ามวิ่งในเส้นทางเสี่ยง ๘๕ แห่ง และกำกับความเร็วตามกายภาพถนนให้มีประสิทธิภาพได้อย่างไร..?ถ้าเปรียบเทียบกับ “ระบบควบคุมรถบัส ๒ ชั้นในต่างประเทศ” ต่างมีมาตรการกำกับดูแลการวิ่งบนถนนเส้นทางเสี่ยงที่ลาดชัน และพื้นที่เอียงเข้มงวดมากอย่าง “มาเลเซีย” ที่เคยมีกรณีรถบัส ๒ ชั้นของไทยเข้าไปท่องเที่ยวบนเขาเก็นติ้งไฮแลนด์ และรถพลิกคว่ำบนถนนคาเมรอน ไฮแลนด์-ซิมปัง ปุไลมรผู้เสียชีวิต ๒๖ รายนับจากนั้น “มาเลเซีย” ส่งทีมวิชาการสอบสวนสาเหตุแล้วรายงานที่ออกมาทำให้มีการเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดมาตรฐานรถบัส ๒ ชั้น และมาตรฐานเส้นทางห้ามวิ่งด้วยการใช้ GPS ส่งสัญญาณแจ้งเตือนเข้มงวดมากแตกแต่งจาก “ระบบกำกับในไทย” มักประกาศเป็นข้อแนะนำห้ามวิ่งเท่านั้น “จึงไม่อาจบังคับลงโทษทางกฎหมายได้” ทำให้มีรถบัส ๒ ชั้นวิ่งอยู่บนเส้นทาง ๘๕ จุดเสี่ยงเป็นปกติ แล้วยังสามารถวิ่งได้ไม่เกิน ๙๐ กม./ชม. ทั้งที่ถนนบริเวณนั้นจำกัดความเร็วอยู่ไม่เกิน ๓๐-๔๐ กม./ชม.ส่งผลให้มักเกิดอุบัติเหตุปรากฏเป็นข่าวบ่อยๆเหตุนี้ควรปรับระบบการแจ้งเตือนของ GPS รถโดยสารสาธารณะในการแจ้งเตือนให้เป็นไปตามกายภาพถนนจริงแล้วถ้าหากรถบัส ๒ ชั้นเกิดอุบัติเหตุควรทำการสอบสวนโดย “คณะกรรมการอิสระ” เพราะหากใช้เจ้าหน้าที่ในระบบตรวจสอบอาจจะไม่กล้าแตะในเชิงระบบมาก และสรุปผลการสอบลงรายละเอียดเพียงบางส่วน กลายเป็นว่า “แก้ไม่ตรงจุดรากเหง้าปัญหายังอยู่” แต่หากใช้คณะกรรมการอิสระมักจะสามารถตรวจสอบสรุปสาเหตุสำคัญ “นำไปสู่การทบทวนมาตรฐานใหม่” เพื่อความปลอดภัยต่อการใช้รถโดยสารสาธารณะอย่างกรณีทัวร์ ๒ ชั้นไทยพลิกคว่ำ “มาเลเซีย” ที่มีส่งทีมวิชาการจากสถาบันไมรอสลงไปสอบสวนจนมีข้อสรุปรายงานนำไปสู่ “การกำหนดมาตรฐานรถบัส ๒ ชั้นใหม่ และกำหนดเส้นทางห้ามวิ่งมีหลักเกณฑ์ชัดเจนทั้งประเทศ” นับแต่นั้นปัญหาอุบัติเหตุรถบัส ๒ ชั้นในประเทศมาเลเซียก็ไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลยในส่วนประเทศไทยอย่างกรณี “รถทัวร์ ๒ ชั้น” เสียหลักชนต้นไม้ริมถนนเพชรเกษมช่วง กม.ที่ ๓๓๑-๓๓๒ อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ ผู้โดยสารเสียชีวิตทันที ๑๔ ราย บาดเจ็บ ๓๕ คน ผลสรุปมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง แต่กลับไม่นำไปสู่การปรับเปลี่ยนระบบมาตรการป้องกันใดๆออกมาใหม่เลยด้วยซ้ำประเด็นน่ากังวลคือ “เทศกาลสงกรานต์ปี ๒๕๖๗” คาดการณ์ว่าประชาชนจะทยอยเดินทางกลับภูมิลำเนาตั้งแต่วันที่ ๙-๑๒ เมษายนใช้บริการรถโดยสารประจำทางเฉลี่ยวันละหลายหมื่นคน ทำให้รถในระบบอาจไม่พอ “ผู้ประกอบการ” ต้องเพิ่มรถเสริมโดยสารไม่ประจำทาง (ประเภท ๓๐) มาวิ่งเสริมในเส้นทางต่างๆ ๑๕-๒๐% จากปกติปัญหาว่า “คนขับรถทัศนาจรเหล่านี้มิได้วิ่งเป็นประจำไม่คุ้นชินเส้นทาง” ดังนั้นจะมีวิธีใดตรวจสอบว่าคนขับพร้อมหรือไม่ เพราะรถเสริมบางคันอาจออกวิ่งรับจ้างทั่วไปมาก่อน กลายเป็นพักผ่อนไม่เพียงพอ แถมต้องเจอการจราจรติดขัดช่วงเทศกาลซ้ำอีก ทำให้เกิดการเหนื่อยล้าสะสมนำไปสู่หลับในเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ง่าย ดังนั้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ “กรมการขนส่งทางบก” ควรต้องมีระบบการดูแลตรวจสภาพรถ และสภาพคนขับให้มีความพร้อม เพื่อเพิ่มความเข้มงวดจัดการความเสี่ยงในการลดอุบัติเหตุบนท้องถนน ทั้งรถโดยสารประจำทาง และรถเสริมประเภท ๓๐ ทำให้ผู้โดยสารมีความมั่นใจต่อการใช้บริการได้อย่างปลอดภัยมากยิ่งขึ้นสุดท้ายฝากไว้ว่า “ช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี ๒๕๖๗” ที่รัฐบาลพยายามผลักดันซอฟต์พาวเวอร์นำอัตลักษณ์ดึงนักท่องเที่ยวเข้าไทย “กระตุ้นเศรษฐกิจประเทศ” เปิดโอกาสให้จัดเล่นน้ำ ๒๑ วัน สิ่งนี้มีความเป็นไปได้ที่ประชาชนจะเดินทางกลับภูมิลำเนามากขึ้น “ส่งผลให้รถโดยสารสาธารณะ” อาจไม่เพียงพอต้องใช้รถเสริมมาช่วยแล้วในช่วง ๒-๓ ปีมานี้ปรากฏการณ์พบว่า “พนักงานโรงงานหลายแห่งมักลงขันเหมารถบัส ๒ ชั้นเดินทางกลับภูมิลำเนา” ฉะนั้นอยากเห็นรัฐบาลเน้นตั้งหลักกับมาตรการป้องกันความปลอดภัยบนท้องถนนให้ดีๆ เน้นกำกับ ๓ กลุ่ม คือ คน รถ และถนน ที่มักเป็นปัจจัยทำให้เกิดอุบัติเหตุมากที่สุดนี่คือเสียงสะท้อนให้เห็นความเสี่ยงอุบัติเหตุจากรถบัส ๒ ชั้นที่ยังให้บริการ ๗ พันคันสามารถนำไปสู่เหตุโศกนาฏกรรมได้ทุกเมื่อหาก “ภาครัฐ” ไม่ปรับเปลี่ยนกลไกการป้องกันให้สอดรับสภาพความเป็นจริง.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า ๑” เพิ่มเติม