Thursday, 19 December 2024

"ซูเปอร์โพล" เผย คะแนนนิยม พรรคก้าวไกล มากกว่า พรรคเพื่อไทย ๑ เท่าตัว

“ซูเปอร์โพล” เผย ผลสำรวจ คะแนนนิยมพรรคก้าวไกล มากกว่าพรรคเพื่อไทย ๑ เท่าตัว แต่ “ก้าวไกล” ก็ยังจะไม่มีคะแนนนิยมมากพอที่จะชนะการเลือกตั้ง จนตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ ถ้ายังทำงานการเมืองแบบนี้ต่อไปเมื่อวันที่ ๒๑ เม.ย. สำนักวิจัย ซูเปอร์โพล เสนอผลสำรวจเรื่อง ก้าวไกล เพื่อไทย และอื่นๆ กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวน ๑,๑๕๔ ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ ๑๕-๒๐ เม.ย. ที่ผ่านมา พบว่า คะแนนนิยมของพรรคก้าวไกลมากกว่าคะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทยอยู่ประมาณ ๑ เท่าตัว คือ ร้อยละ ๓๗.๒ ต่อ ร้อยละ ๑๗.๒ อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่ที่สุดหรือร้อยละ ๔๕.๖ ไม่เลือกทั้งสองพรรค จะเลือกพรรคอื่นเมื่อแบ่งออกเป็นกลุ่มชายและหญิง พบว่า ชายและหญิงตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองไม่แตกต่างกันในผลสำรวจครั้งนี้ คือ ส่วนใหญ่ของชายและหญิง คือร้อยละ ๔๕.๑ ของชาย และร้อยละ ๔๖.๑ ของหญิง ไม่เลือกทั้งสองพรรค จะเลือกพรรคอื่น แต่ ร้อยละ ๓๗.๐ ของชาย และร้อยละ ๓๗.๓ ของหญิงจะเลือกพรรคก้าวไกล และร้อยละ ๑๗.๙ ของชายและร้อยละ ๑๖.๖ ของหญิงจะเลือกพรรคเพื่อไทยที่น่าสนใจคือ เมื่อแบ่งออกเป็นช่วงอายุ พบว่า ส่วนใหญ่ของคนอายุต่ำกว่า ๒๐ ปี หรือร้อยละ ๗๖.๒ ของคนอายุต่ำกว่า ๒๐ ปี จะเลือกพรรคก้าวไกล แต่มีแนวโน้มลดลงตามช่วงอายุที่สูงขึ้นคือ ร้อยละ ๔๘.๙ ของคนอายุ ๒๐-๒๙ ปี ร้อยละ ๓๔.๒ ของคนอายุ ๓๐-๓๙ ปี ร้อยละ ๒๘.๗ ของคนอายุ ๔๐-๔๙ ปี ร้อยละ ๒๐.๒ ของคนอายุ ๕๐-๕๙ ปี และร้อยละ ๒๐.๕ ของคนอายุ ๖๐ ปีขึ้นไป จะเลือกพรรคก้าวไกล จะเห็นได้ว่า แนวโน้มจะเลือกพรรคก้าวไกลลดลงตามช่วงอายุของคนที่สูงขึ้นสำหรับ ช่วงอายุของคนที่จะเลือกพรรคเพื่อไทยไม่พบแบบแผนของการตัดสินใจจะเลือกคือกระจายคะแนนนิยมออกไปไม่เป็นแบบแผน แตกต่างกับคนที่ระบุว่าจะไม่เลือกพรรคทั้งสอง จะเลือกพรรคอื่น พบว่า ยิ่งมีอายุสูงขึ้นจะยิ่งตัดสินใจเลือกพรรคอื่นๆ มากขึ้นตามไปด้วย คือ ร้อยละ ๑๔.๓ ของคนอายุต่ำกว่า ๒๐ ปี ร้อยละ ๓๙.๙ ของคนอายุ ๒๐-๒๙ ปี ร้อยละ ๔๔.๕ ของคนอายุ ๓๐-๓๙ ปี ร้อยละ ๕๒.๘ ของคนอายุ ๔๐-๔๙ ปี ร้อยละ ๕๗.๕ ของคนอายุ ๕๐-๕๙ ปี และร้อยละ ๖๑.๖ ของคนอายุ ๖๐ ปีขึ้นไป จะไม่เลือกทั้งพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย แต่จะเลือกพรรคอื่นที่น่าพิจารณาคือ กลุ่มอาชีพกับการตัดสินใจจะเลือกพรรคการเมือง คือ นักศึกษาส่วนใหญ่หรือร้อยละ ๖๙.๒ จะเลือกพรรคก้าวไกล และว่างงาน ร้อยละ ๔๓.๕ จะเลือกพรรคก้าวไกล ส่วนพรรคเพื่อไทย จะพบมาก แต่ไม่ได้มากที่สุดในกลุ่มเกษตรกร คือร้อยละ ๒๔.๖ ของกลุ่มเกษตรกร ที่น่าสนใจคือ กลุ่มข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐ เกินครึ่งหรือร้อยละ ๕๖.๐ ไม่เลือกทั้งพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย เช่นเดียวกับ กลุ่มเกษตรกรที่เกินครึ่งหรือร้อยละ ๕๔.๒ ที่ไม่เลือกพรรคก้าวไกล และไม่เลือกพรรคเพื่อไทย แต่จะเลือกพรรคอื่น นอกจากนี้ จำนวนมากที่สุดของกลุ่มอาชีพค้าขายอิสระ คือร้อยละ ๔๘.๔ และร้อยละ ๔๒.๑ ของพนักงานบริษัทเอกชน จะไม่เลือกทั้งพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย แต่จะเลือกพรรคอื่น อย่างไรก็ตามจำนวนมากหรือร้อยละ ๓๙.๙ ของพนักงานเอกชนจะเลือกพรรคก้าวไกลรายงานของซูเปอร์โพล ระบุว่า ผลโพลนี้ วิเคราะห์เจาะลึกลงรายละเอียดของการออกแบบกลยุทธ์ทางการเมืองได้อีกมาก แต่โดยสรุป ถ้าวันนี้เลือกตั้ง ประชาชนส่วนใหญ่จะไม่เลือกพรรคทั้งสองไม่ว่าจะเป็น พรรคก้าวไกล หรือ พรรคเพื่อไทย ทั้งนี้ พรรคก้าวไกลมีคะแนนสูงกว่าเพื่อไทยอยู่ประมาณหนึ่งเท่าตัว แต่พรรคก้าวไกลก็ยังจะไม่มีคะแนนนิยมมากพอที่จะชนะการเลือกตั้งจนตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ ถ้ายังทำงานการเมืองแบบนี้ต่อไป การเคลื่อนไหวทางการเมืองขณะนี้ที่ออกมาเป็นแบบเดิมๆ ไม่มีอะไรใหม่ ภาพการเมืองแบบเก่า ๆ เหมือนเดิมดังนั้น ถ้าจะให้เกิดผลมีอะไรใหม่ก็ต้องใช้ระบบเทคโนโลยีมาช่วยทำงานใน ๓ กลุ่มงานคือ ๑.เข้าถึง เข้าใจ และตอบสนอง (Insight) ตรงความต้องการของประชาชนระดับพื้นที่ (Localization) มากกว่าใช้นโยบายภาพใหญ่นำ ๒. ความมั่นคงชาติและปลอดภัยของประชาชน และ ๓. อื่น ๆ เช่น ผสมผสานทำงานการเมืองแบบดั้งเดิมกับแบบใหม่ (Hybrid) เป็นต้น ผลที่ตามมาคือ “ศรัทธาของประชาชน” ต่อการเมืองที่เป็นไปได้คือ เหมือนเดิม หรืออาจจะเปลี่ยนแปลงเทคะแนนนิยมไปยังพรรคการเมืองที่สามารถปรับตัวทันตามการเปลี่ยนแปลงบนความสงบสุขของประชาชนและความมั่นคงของชาติ