แม้เทคโนโลยีจะก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง แต่โลกก็ยังต้องประสบภัยพิบัติต่อไป ทั้งที่เกิดจากภัยธรรมชาติเช่น ฝนแล้งและน้ำท่วม และภัยที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ เช่นภัยฝุ่นจิ๋ว PM๒.๕ที่กำลังระบาดในประเทศไทย ถึง ๕๓ จังหวัด จากทั้งหมด ๗๗ จังหวัด ภาพที่กระทบต่อสุขภาพระดับสีแดง ๕ จังหวัด๕ จังหวัดที่มีฝุ่นพิษขนาดจิ๋วระดับสีแดง ได้แก่ อ่างทอง ชัยนาท นนทบุรี ปทุมธานี และสิงห์บุรี จังหวัดที่รองลงไป เช่น ลพบุรี สมุทรสาคร สระบุรี นครสวรรค์ อยุธยา อุทัยธานี สุพรรณบุรี นครปฐม เป็นต้น รวมทั้ง กทม. ที่อยู่ในระดับอันตรายสูง ที่เขตดอนเมือง หลักสี่ และบางเขนเมื่อพูดถึงฝุ่นพิษซึ่งเป็นภัยประจำปี สิ่งแรกที่คนไทยนึกถึงคือภาคเหนือ ที่มีการเผาป่า เผาไร่ข้าวโพด และอื่นๆมากสุด ทำให้นครเชียงใหม่ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับต้นๆของไทยและของโลก กลายเป็นพื้นที่ที่อากาศย่ำแย่ที่สุดในโลกในบางปี ส่วน กทม.ก็คงต้องฉีดน้ำตามถนนต่างๆ เหมือนเดิมการเผาป่าเผาไร่เพื่อทำการเกษตร เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย แต่ไม่มีใครใส่ใจปฏิบัติ แม้แต่อาเซียนก็มีสัญญาหรือความตกลงร่วมกัน เพื่อควบคุมการเผาป่า แต่ไม่มีผลบังคับใช้จริงจัง ระหว่างไทย ลาว พม่า และกัมพูชา เพื่อป้องกันการเผาไร่เผาป่า ทั้งๆที่ ๔ ประเทศมีดินแดนติดกัน และมีสัญญาร่วมกันแต่สัญญาห้ามเผาสวนปาล์มน้ำมันกลับใช้ได้ผล ระหว่างสิงคโปร์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย เพราะสิงคโปร์ทำการรณรงค์ห้ามผู้บริโภคใช้น้ำมันปาล์ม จากสวนที่ใช้วิธีเผาไร่และเผาป่า ประเทศ ไทยน่าจะจับมือกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อร่วมกันแก้ปัญหา เพื่อประโยชน์ร่วมกันของทุกฝ่ายแต่สัญญาจะกลายเป็นแค่ “ตัวอักษรบนแผ่นกระดาษ” หรือไม่ แม้แต่ภายในประเทศก็ยังมีการโต้เถียง สส.พรรคก้าวไกลโวยว่า สภารับร่าง พระราชบัญญัติอากาศสะอาดไว้ดำเนินการ ๔ ฉบับ ได้แก่ฉบับของ ครม. ฉบับพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคพลังประชารัฐ แต่ทำไมจึงไม่รับร่างพรรคก้าวไกลด้วยทั้งๆที่เป็นร่างกฎหมายที่มีเนื้อหาตรงกัน และมีวัตถุประสงค์สำคัญ คือขอลมหายใจที่สะอาดให้คนไทยทั้งประเทศ กว่า ๖๖ ล้านคน ให้ได้สูดได้เต็มปอด เรื่องนี้เป็นปัญหาการเมืองหรือไม่ เนื่องจากพรรคก้าวไกลกลายเป็นคู่แข่งของพรรคเพื่อไทย จึงต้องใช้ทุกยุทธวิธี รวมทั้งเตะตัดขาคู่ต่อสู้.คลิกอ่านคอลัมน์ “บทบรรณาธิการ” เพิ่มเติม
Related posts