Thursday, 19 December 2024

ประเทศไทยชูวิสัยทัศน์สู่อนาคตแห่งโลกสีเขียว คว้าสิทธิ์เจ้าภาพมหกรรมพืชสวนโลก "โคราช เอ็กซ์โป ๒๐๒๙"

07 Mar 2024
193

สมาคมพืชสวนระหว่างประเทศ (The International Association of Horticultural Producers – AIPH) ประกาศให้สิทธิ์ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดงานมหกรรมพืชสวนโลก (International Horticultural Expo) หรือ “โคราช เอ็กซ์โป ๒๐๒๙” การได้รับสิทธิ์จัดงานระดับโลกครั้งนี้ จะช่วยยกระดับจังหวัดนครราชสีมาให้เป็นศูนย์กลางด้านนวัตกรรมและความยั่งยืนในอุตสาหกรรมพืชสวน ภายใต้แนวคิด “ธรรมชาติและพรรณพืชเขียวขจี อนาคตแห่งโลกสีเขียว” (Nature & Greenery: Envisioning the Green Future)“โคราช เอ็กซ์โป ๒๐๒๙” หรือ งานมหกรรมพืชสวนโลกนครราชสีมา พ.ศ. ๒๕๗๒ กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๗๒ ถึง ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๗๓ ถือเป็นงานมหกรรมระดับโลก ประเภท A๑ คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมชมงานจำนวน ๒.๖ – ๔ ล้านคนการจัดงานครั้งนี้จะนำเสนอแนวคิด “ธรรมชาติและพรรณพืชเขียวขจี อนาคตแห่งโลกสีเขียว” (Nature and Greenery: Envisioning the Green Future) สะท้อนความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ ความหลากหลายทางวัฒนธรรม และความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีพืชสวนและการเกษตรที่ยั่งยืนของประเทศไทย ทั้งนี้ ประเทศไทยเคยเป็นเจ้าภาพจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกที่จังหวัดเชียงใหม่เมื่อปี ๒๕๔๙ โดยนับเป็นการจัดงานมหกรรมระดับโลกครั้งแรกในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย และยังได้รับรางวัลเหรียญทองจากความสำเร็จในการจัดงานในครั้งนั้นอีกด้วยการประกาศผลการคัดเลือกให้จังหวัดนครราชสีมาได้รับสิทธิ์เป็นเจ้าภาพจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกนครราชสีมา พ.ศ. ๒๕๗๒ มีขึ้นระหว่างการประชุมประจำปี ๒๕๖๗ ของสมาคมพืชสวนระหว่างประเทศ (AIPH) ที่กรุงโดฮา รัฐกาตาร์ ในวันที่ ๖ มีนาคม โดยผู้แทนจากทีมประเทศไทยที่เข้าร่วมประชุมและนำเสนอความพร้อมของประเทศไทยในรอบสุดท้ายประกอบด้วย ผู้แทนจากกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จังหวัดนครราชสีมา และสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ ลำดับถัดไป ไทยจะต้องเสนอตัวต่อองค์การนิทรรศการนานาชาติ หรือ BIE (Bureau International des Expositions) เพื่อให้ได้รับการพิจารณารับรองเป็น Certified License Host ของงาน เนื่องจากมหกรรมพืชสวนโลกเป็นงานระดับ A๑ ตามเกณฑ์ของ BIEนายศิระ สว่างศิลป์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงโดฮา รัฐกาตาร์ ในฐานะหัวหน้าทีมประเทศไทย เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยมีความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ที่จะผลักดันความสำเร็จของงานมหกรรมพืชสวนโลกที่กำลังจะจัดขึ้นในปี ๒๕๗๒ ณ จังหวัดนครราชสีมา หรือ โคราช ซึ่งเป็นประตูสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ด้วยศักยภาพอันโดดเด่นทั้งด้านประวัติศาสตร์ ความชำนาญในด้านเกษตรกรรม และความหลากหลายทางชีวภาพนายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร หนึ่งในหน่วยงานเจ้าภาพจัดงาน เน้นย้ำถึงความสำคัญเชิงกลยุทธ์ด้านการพัฒนาภาคเกษตรกรรมและพืชสวนของประเทศไทย ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในยุทธศาสตร์ชาติ โดยงานโคราช เอ็กซ์โป ๒๐๒๙ จะเป็นเวทีระดับนานาชาติ นำเสนอแนวทางการทำพืชสวนที่ผสมผสานเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ากับภูมิปัญญาแบบดั้งเดิม มุ่งสู่การสร้างอนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมยิ่งขึ้นนายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่า ในฐานะเมืองเจ้าภาพ จังหวัดนครราชสีมาพร้อมเปิดประตูต้อนรับผู้มาเยือนจากทั่วโลก เพื่อสัมผัสความหลากหลายทางวัฒนธรรมของประเทศไทย ผสานกับวิสัยทัศน์ในการสร้างอนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยั่งยืน การจัดงานโคราช เอ็กซ์โป ๒๐๒๙ ครั้งนี้ จะเป็นการพลิกโฉมเมืองโคราช โดยยกฐานะสู่เมืองต้นแบบด้านนวัตกรรมสีเขียวนายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่สนับสนุนการประมูลสิทธิ์การจัดงาน ได้เน้นย้ำถึงความมุ่งหวังด้านการสร้างมรดกที่ยั่งยืนและประโยชน์ทางเศรษฐกิจโดยกล่าวว่า โคราช เอ็กซ์โป ๒๐๒๙ ถือเป็นงานสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ตอบสนองต่อพันธกิจหลักของสมาคมพืชสวนระหว่างประเทศ (AIPH) ในการส่งเสริมความสำเร็จของอุตสาหกรรมพืชสวนผ่านการปลูกพืชเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต ร่วมพัฒนาสังคม และสร้างความยั่งยืนให้กับโลกสำหรับคนรุ่นนี้และรุ่นต่อๆ ไป นอกจากนี้ ขอขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนสำหรับบทบาทในการคว้าสิทธิ์จัดงานครั้งนี้ อาทิ สมาคมพืชสวนแห่งประเทศไทย หอการค้าจังหวัดนครราชสีมา สภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครราชสีมา สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดนครราชสีมา สมาคมการท่องเที่ยวเขาใหญ่ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา และภาคีเอกชนในจังหวัด นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการทีเส็บทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาการจัดงานโคราช เอ็กซ์โป ๒๐๒๙ หรืองานมหกรรมพืชสวนโลกนครราชสีมา พ.ศ. ๒๕๗๒ คาดการณ์ว่าจะสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจ โดยก่อให้เกิดเงินสะพัดกว่า ๑๘,๙๔๒ ล้านบาท เพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ๙,๑๖๓ ล้านบาท รายได้จากการจัดเก็บภาษี ๓,๔๒๙ ล้านบาท และสร้างงาน ๓๖,๐๐๓ อัตรา